อ่านละคร ลีลาวดีเพลิง ตอนทีี่ 15 วันที่ 31 ม.ค. 58
ลิลินทบทวนชื่อวิทยาก่อนถามว่าเขาคือใคร ทิวัตถ์ เริ่มเอะใจ พอได้ยินเธอถามว่าเขาเป็นใคร และเธอเป็นใครก็ตกใจแทบช็อก มือไม้อ่อนปล่อยแก้วน้ำหลุดจากมือแตกกระจายลิลินความจำเสื่อมจำไม่ได้แม้แต่ชื่อตัวเอง ทิวัตถ์ตกใจมาก ขณะที่หมอก็หนักใจ บอกว่าสมองเธอบวมจนไปกดทับเส้นประสาทเลยทำให้จำอะไรไม่ได้ ถ้าสมองหายบวมอาจจะหายกลับมาเป็นปกติ แต่จะใช้เวลานานแค่ไหนขึ้นอยู่กับอาการของคนไข้ บางคนเป็นเดือนเป็นปี หรืออาจจะจำอะไรไม่ได้เลยตลอดชีวิต
วิชนีใช้ความสนิทสนมกับลิลินรำลึกความหลังหวังให้ความจำของเพื่อนรักกลับคืนมา แต่กลายเป็นว่าลิลินปวดหัวอย่างหนักจนทิวัตถ์ต้องขอร้องวิชนีให้หยุดก่อน ศักดิ์สิทธิ์เห็นด้วย เตือนวิชนีอย่าเพิ่งรีบป้อนข้อมูลอะไรเลยควรให้ลิลินพักผ่อนมากๆจะดีกว่า
เมื่อรู้ว่าตั้งแต่เกิดเรื่องทิวัตถ์ยังไม่ได้กลับบ้าน ศักดิ์สิทธิ์กับวิชนีจึงอาสาอยู่เฝ้าลิลินแทนแล้วให้เขาไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทิวัตถ์ลังเลแต่สุดท้ายก็ยินยอม
ด้านวาสนาคุณยายจอมงกของวรรณิต วันนี้เธอแอบไปที่โรงพยาบาลแล้วดอดเข้าในห้องที่แม่ของวรรณิต นอนรักษามะเร็ง วาสนาไม่ต้องการเป็นภาระเรื่องค่ารักษาอีกต่อไปจึงใช้หมอนกดปิดหน้าแม่ของวรรณิตจนสิ้นใจ
ก่อนจะหลบออกมาอย่างว่องไวโดยไม่มีใครเห็น
วรรณิตไม่อาจล่วงรู้ความโหดเหี้ยมเลือดเย็นของวาสนา เธออุตส่าห์ให้นพกรเอาเครื่องเพชรไปขายเตรียม เงินไว้รักษาแม่ พอทางโรงพยาบาลส่งข่าวเธอถึงกับเข่าอ่อนทรุดฮวบหมดสติอยู่ในบ้านทรงพล ศุภารมย์ปฐม พยาบาลจนเธอฟื้นและสอบถามก็ได้ความว่าญาติห่างๆเสียชีวิต แต่น่าสงสัยทำไมวรรณิตถึงดูโศกเศร้าราวกับคนตายเป็นญาติสนิท
ทันทีที่ทิวัตถ์กลับมาถึงบ้าน ศุภารมย์ตกใจทราบเรื่องลิลินความจำเสื่อม แต่พอศัลย์รู้ข่าวนี้จากเธอก็ทักท้วงอย่างไม่เชื่อ กลัวว่าลิลินจะสร้างเรื่องขึ้นมาเอง เขาจึงไปพิสูจน์โดยไม่บอกศุภารมย์ ปะเหมาะพอดีเวลานั้น ศักดิ์สิทธิ์กับวิชนีออกจากห้องเพราะลิลินอยากอยู่คนเดียว ศัลย์จึงแทรกตัวเข้าไปได้ง่ายดาย แล้วจะใช้ปืนเก็บเสียงสังหารเธอ แต่โชคไม่เข้าข้างเพราะศุภารมย์ปรากฏตัวเสียก่อน ตามด้วยทิวัตถ์ที่รีบร้อนกลับมาด้วยความเป็นห่วงลิลิน
ศัลย์จำต้องกลับไปก่อนเพราะถูกศุภารมย์บังคับด้วยสายตา ทิวัตถ์ระแวงแม่ต่ายถามว่ามาทำอะไร
“ยังไงคุณลินก็เคยเป็นครูสอนร้องเพลงแม่ ถ้าไม่มาเยี่ยมก็คิดว่าจะใจดำไปหน่อย แม้ว่าเธออาจจะเคยทำอะไรแม่ไว้ก็เถอะ”
ลิลินมองทั้งคู่แล้วเดินเข้ามาถามทิวัตถ์ว่าผู้หญิงคนนี้แม่ของเขาหรือ ทิวัตถ์ตอบรับและถามเธอว่าจำได้บ้างไหม
พอจะเริ่มใช้ความคิด ลิลินมีอาการปวดหัวขึ้นมาทุกที สองมือเธอกุมขมับจนทิวัตถ์ต้องพาเธอไปนั่งที่เตียง ศุภารมย์ขยับเข้ามาใกล้ เอ่ยอย่างผู้ใหญ่ใจดีว่า
“ลิลิน...ฉันอโหสิให้เธอนะ”
“อโหสิ...ฉันไปทำอะไรให้คุณเหรอคะ”
“ช่างมันเถอะ เรื่องมันผ่านมาแล้ว”
ลิลินพยายามทบทวนแต่ปวดหัวจี๊ดขึ้นมาอีก ศุภารมย์จึงตัดบทให้เธอพักผ่อน และบอกลูกชายว่าแม่กลับก่อน
“ให้ผมไปส่งไหมครับ”
“ไม่เป็นไร วินอยู่กับคุณลินเถอะ...ฉันไปนะ ไว้วันหลังจะมาเยี่ยมใหม่”
ศุภารมย์ลับกาย ทิวัตถ์บอกลิลินทันทีว่าอย่าถือสาแม่ของตนเลย พอลิลินสงสัยว่าเรื่องอะไร เขาชะงักไม่อยากพูดเรื่องแม่โดนยิง บอกให้เธอพักผ่อนก่อนดีกว่า
ooooooo
วรรณิตมาดูศพแม่ที่โรงพยาบาล เธอเสียใจร้องไห้น้ำตานองหน้า กล่าวโทษตนเองที่รักษาชีวิตแม่ไว้ไม่ได้
ทันทีที่ดำเนินการเรื่องศพเสร็จ เธอโทร.ไปบอกวาสนาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ วาสนาแสร้งตกใจแล้วเร่งรีบมาที่โรงพยาบาลซักถามเป็นการใหญ่
“แม่หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน”
“ไม่น่าเลย ยายอุตส่าห์ไปคุยเรื่องเงินกู้ไว้แล้วเชียว... โธ่เอ๊ยแม่ณิต เป็นเพราะยายแท้ๆ ถ้ายายจัดการให้มันเร็วกว่านี้ แม่สาก็ไม่ต้อง...” วาสนาแกล้งบีบน้ำตา
“เป็นเพราะณิตมากกว่า...ณิตช่วยอะไรแม่ไม่ได้เลย”
“โถๆๆ แม่ณิต”
วรรณิตเริ่มร้องไห้อีก วาสนาแอบยิ้มก่อนจะเล่นละครต่อ
“ทำใจให้สบายเถอะ ถือซะว่าแม่แกไปสบายแล้วนะ” วาสนาเข้าไปกอดปลอบวรรณิตแต่แววตาเต็มไปด้วยความดีใจ
ส่วนที่โรงพยาบาลอีกแห่งที่ลิลินรักษาตัว ศักดิ์สิทธิ์กับวิชนีนั่งอยู่หน้าต่อทิวัตถ์ในร้านอาหาร สองคนลืมตัวหยอกเอินกันเพลินเลยโดนทิวัตถ์ล้วงลึก ศักดิ์สิทธิ์ยอมรับอย่างเขินๆว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน ทิวัตถ์แปลกใจแต่ก็แสดงความยินดีกับทั้งคู่ด้วย
วิชนีเขินกว่าขอตัวไปห้องน้ำ ปล่อยให้สองเพื่อนซี้คุยกันตามสบาย ศักดิ์สิทธิ์เล่าเรื่องที่ตนจะขายโรงแรม ทิวัตถ์ถึงชะงัก ทักท้วงว่านั่นมันมรดกที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้แก
“ฉันรู้ ฉันพยายามดูแลมันมาตลอด แต่มันก็ได้แค่นี้แหละ ฉันเลยคิดว่าถ้าฉันมีความสุขที่จะอยู่กับวิชนี...เตี่ยกับม้าก็คงจะดีใจไปกับฉันด้วย แกไม่ต้องเป็นห่วงฉัน...ฉันไม่เป็นไร”
“แต่ถ้าแกไม่ได้เป็นเจ้าของโรงแรม แล้วคุณลินจะไปอยู่ที่ไหนได้”
“อ้าวไอ้นี่...นึกว่าจะห่วงเพื่อน”
“ก็ห่วง แต่ฉันห่วงคุณลินมากกว่า ตอนนี้ฉันอยากหาที่ที่ปลอดภัยให้เธออยู่”
“แล้วนอกจากโรงแรมฉัน...แกไม่มีที่อื่นอีกแล้วหรือไง”
ทิวัตถ์นิ่งคิดไม่นานก็ตัดสินใจได้อย่างแน่วแน่ แล้วกลับไปนั่งเฝ้าลิลินที่นอนพักผ่อนอยู่ในห้อง เธอขยับตัวลืมตาพูดกับเขาว่า
“ฉันนึกว่าคุณจะกลับบ้านไปแล้ว”
“ผมจะกลับได้ยังไง ในเมื่อคุณยังนอนอยู่ที่นี่”
“ฉันยังอยู่ที่นี่...แล้วทำไมคะ”
“ผมเป็นห่วงคุณ”
“คุณใจดีจังนะคะ ขนาดฉันจำคุณไม่ได้ คุณยังดีกับฉันขนาดนี้”
“แต่ผมไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี”
“ทำไมคะ”
“ก็ถ้าความจำคุณไม่กลับคืน มันอาจทำให้เรารักกันได้จริงๆ”
“แล้วทำไมเราถึงรักกันไม่ได้ล่ะ”
ทิวัตถ์ลำบากใจที่จะตอบ ตัดบทให้เธอพักผ่อน อย่าเพิ่งคิดอะไรเดี๋ยวจะปวดหัวขึ้นมาอีก ลิลินโอนอ่อนแต่มีคำถามว่าตนจะกลับบ้านได้เมื่อไหร่ ทิวัตถ์ให้รอถามหมอ แต่เธอหน้าจ๋อย พูดอย่างน่าสงสารว่า
“ฉันอยากกลับบ้าน...แต่ฉันก็จำไม่ได้อยู่ดีว่าบ้านฉันอยู่ที่ไหน”
“เรื่องนั้นคุณไม่ต้องห่วง ถ้าคุณไว้ใจผม ผมจะพาคุณไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยเอง”
แล้วในเย็นนั้นเอง ทิวัตถ์ก็พาลิลินไปอยู่ร่วมชายคา พอดีวาสนามาถึงก่อนพร้อมวรรณิต กำลังคุยกับศุภารมย์และทรงพลเรื่องลิลินที่ความจำเสื่อม เมื่อเจอตัวเป็นๆของเธอ วาสนาแสดงความไม่พอใจ ถามกึ่งตำหนิทิวัตถ์ว่าพานักร้องมาที่บ้านทำไม
“ลินไม่สบายน่ะครับ ผมก็เลยพาเธอมาที่นี่”
“วินหมายความว่ายังไง จะให้คุณลินมาอยู่ที่นี่เหรอ”
“ครับแม่ต่าย”
“ไม่ได้นะวิน ลูกก็รู้ว่าเธอ...”
“แต่ตอนนี้เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเราเป็นใคร”
“แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าสถานะของเธอจะเปลี่ยนไปจากเดิมได้นี่”
“ตายๆๆ สงสัยพ่อวินจะเสียสติไปแล้วแน่ๆ” วาสนาผสมโรง วรรณิตรีบดึงแขนห้ามยาย ส่วนทรงพลไม่อยากต่อความยาวเร่งทิวัตถ์ให้พาลิลินขึ้นไปบนห้องก่อน เดี๋ยวค่อยมาคุยกัน
วาสนามองตามทั้งสองคนไปด้วยสีหน้าท่าทีไม่ค่อยพอใจ ก่อนหันกลับมาถามทรงพลกับศุภารมย์ว่าจะให้เด็กนั่นอยู่ที่นี่จริงหรือ หัวนอนปลายเท้าเป็นยังไงก็ไม่รู้
“ปล่อยให้เป็นเรื่องในครอบครัวของเราเถอะครับ เรื่องแค่นี้เราจัดการกันเองได้”
คำพูดของทรงพลทำให้วาสนายอมเงียบ แต่ค้อนตาแทบกลับ เดินอารมณ์เสียออกไป
ฝ่ายทิวัตถ์ที่พาลิลินไปพักห้องรับรองแขกก็ต้องลำบากใจที่จะตอบคำถามของเธอ
“ที่คุณคุยกับแม่คุณ มันหมายความว่ายังไงเหรอคะ”
“เดี๋ยวผมค่อยเล่าให้คุณฟังวันหลังดีกว่า”
ลิลินเริ่มออกอาการไม่สบายใจ ทิวัตถ์สังเกตเห็นถามว่าเป็นอะไร ปวดหัวหรือเปล่า เธอส่ายหน้าและถามย้ำว่าเขาจะให้เธออยู่ที่นี่จริงหรือ
“ทำไม...คุณมีปัญหาอะไรรึเปล่า หรือว่าคุณยังไม่ไว้ใจผม”
“เปล่าค่ะ แต่ฉันคิดว่าทางบ้านคุณดูไม่ค่อยชอบฉันเท่าไหร่”
“คุณไม่ต้องคิดมากหรอก เดี๋ยวผมจัดการเอง ต่อไปนี้ที่นี่คือห้องของคุณ คุณทำอะไรได้ตามสบายเลยนะ”
“ฉันขอถามอะไรอีกนิดนะคะ ทำไมคุณถึงให้ฉันอยู่ที่นี่ล่ะ”
“เพราะผมเป็นห่วงคุณ ตามสบายนะ ตอนนี้มันเป็นห้องของคุณแล้ว”
ทิวัตถ์พาเธอมานั่งบนเตียงก่อนที่ตัวเองจะออกจากห้องไป ศุภารมย์กับทรงพลพอเห็นลูกชายกลับลงมาก็ปรับสีหน้าวิตกกังวลให้เป็นปกติ แต่ดูเหมือนศุภารมย์จะทำได้ยากกว่า ถามทิวัตถ์ทันทีว่าเธอไม่มีที่ไปแล้วหรือไง
“ผมแค่เป็นห่วงคุณลินน่ะครับ ที่สำคัญผมคิดว่าที่นี่ปลอดภัยสำหรับเธอมากที่สุดด้วย”
“พ่อว่าคงไม่เหมาะเท่าไหร่”
“ทำไมล่ะครับ”
“ต้องให้พ่อย้ำอีกกี่ครั้งว่าเธอเป็นลูกสาวของปองภพ”
“นั่นมันเป็นอดีตไปแล้วนะครับ ปัจจุบันเธอก็แค่ผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น...ผมเข้าใจครับ แต่อย่างน้อยเราก็ทำเพื่อชดใช้ความผิดในอดีตได้นี่ครับ”
“ให้เธออยู่ที่นี่แหละ แต่วินต้องสัญญากับแม่ก่อน ถ้าเมื่อไหร่ที่ความจำเธอกลับมา...เธอจะต้องย้ายออกทันที”
“ครับ” ทิวัตถ์รับปากแล้วผละไป ทรงพลไม่ค่อยพอใจ ขยับเข้ามาใกล้ศุภารมย์ อยากรู้ทำไมเธอถึงยอมให้ลิลินเข้ามาอยู่กับเราที่นี่
“คุณเคยได้ยินไหมคะ ที่ว่าให้เก็บมิตรไว้ใกล้ตัว แต่ให้เก็บศัตรูไว้ใกล้ยิ่งกว่า ลิลินมาอยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว บางทีเราจะได้รู้ว่าเธอความจำเสื่อมจริงหรือเปล่า”
ศุภารมย์แววตาคมกริบ ทรงพลเห็นแล้วนึกเป็นห่วงสถานการณ์ในครอบครัว
ooooooo
เย็นวันเดียวกัน สิตากับกฤษดาทะเลาะกันเรื่องไร้สาระ แต่มันก็ทำให้สิตาอารมณ์เสียได้ไม่ยากเพราะพี่ชายชอบกวนประสาท
แต่แล้วมีเพื่อนโทร.มารายงานข่าวบางอย่าง สิตากลับดี๊ด๊าอารมณ์ดีขึ้นมาจนกฤษดาเป็นงง
“อะไรของแก...เพื่อนโทร.มาบอกว่ากระเป๋าคอลเลกชั่นใหม่ออกหรือไง”
“เปล่า...นังลิลินรถคว่ำ...สมน้ำหน้า”
“อ๋อเหรอ แสดงว่าเพื่อนแกรู้มาแค่นิดเดียว”
“บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่าพี่รู้อะไรอีก หรือว่ามันตายแล้ว”
“ฮ่าๆๆ ตายเหรอ....ฝันไปเถอะแก”
เสียงหัวเราะเยาะเย้ยของพี่ชายทำให้สิตายิ่งฉงน ถามว่าหัวเราะแบบนี้หมายความว่ายังไง
“นอกจากนังนั่นไม่ตายแล้ว ตอนนี้ไอ้วินมันยังพาแม่นักร้องนั่นเข้าไปอยู่ในบ้านด้วยกันแล้วไง...ไม่เชื่อแกก็ไปดูสิ”
สิตาอึ้งไปอย่างขุ่นใจ งานนี้ต้องพิสูจน์ให้รู้แจ้งแดงแจ๋ และรอช้าไม่ได้ด้วย...
ภายในห้องอาหารบ้านทรงพล สมาชิกขาดอนันยชไปหนึ่งคน แต่เพิ่มลิลินที่เพิ่งย้ายเข้ามา ศุภารมย์ซึ่งสงสัยว่าลิลินแกล้งความจำเสื่อมหรือเปล่า พยายามทดสอบด้วยการตั้งคำถามหลายข้อ แต่ดูเหมือนทิวัตถ์จะรู้ทันจึงขอร้องแม่อย่าเพิ่งถามอะไรเธอตอนนี้เลย
ศุภารมย์ไม่หยุดยั้ง เกือบจะพูดว่าลิลินเป็นลูกของฆาตกร ดีเสียว่าทรงพลสกัดได้ทัน พลางส่งสายตาขอร้องศุภารมย์ให้เลิกพูด
นพกรแอบดูลิลินอย่างหลงใหล พอเหลือบเห็นอนันยชเดินเข้ามาก็รีบหลบเข้ามุมซุ่มดูต่อไป
“อ้าววัน มาพอดีเลย นั่งสิ” ทรงพลเรียกลูกเลี้ยง
“โต๊ะอาหารดูแน่นๆนะครับวันนี้...อ้าวคุณลิน สวัสดีครับ ไปไงมาไงถึงมาโผล่ที่นี่ได้ครับเนี่ย”
ลิลินตอบไม่ถูก ทิวัตถ์เลยตอบเสียเองว่า “คุณลินจะเข้ามาอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง จนกว่าเธอจะหายดี”
“จริงสิ...เห็นวินบอกว่าคุณความจำเสื่อม” ว่าแล้วอนันยชโบกมือตรงหน้าลิลิน ถามว่าจำตนได้ไหม เธอส่ายหัวแทนคำตอบ
“อย่าทำเป็นเล่นได้ไหมวัน” ศุภารมย์ดุลูกชาย
“แต่ผมว่าความจำเสื่อม ก็ดีกว่าเรื่องอย่างว่าเสื่อมนะครับ”
“วัน...อย่ามาพูดจาสองแง่สองง่ามบนโต๊ะอาหาร” ทรงพลเริ่มเสียงเขียว แต่อนันยชก็ยังปากไวไม่เลิก
“ง่ามเดียวนี่แหละครับ...ตรงๆเลย” แถมพูดจบก็เหล่ตามองวรรณิต
“ณิตอิ่มแล้ว ขอตัวไปทานยาก่อนนะคะ” เธอจะเลี่ยงการปะทะกับสามี ก็พอดีได้ยินเสียงสิตาดังแหวกอากาศฟาดฟันกับป้าจวนเข้ามา
“ฉันจะมาดูให้เห็นกับตา พวกแกหลีกไป”
อนันยชยิ้มกริ่ม แหย่ทิวัตถ์ว่างานเข้าแล้วแก...สิตาเดินฉับๆเข้ามาเกือบถึงตัวทิวัตถ์ บอกว่าตนจะมาดูว่าเขาพานักร้องมาอยู่ด้วยกันที่นี่จริงหรือเปล่า
“ฉันเป็นคนอนุญาตเอง” ศุภารมย์เสียงขุ่นใส่สิตา
“คุณอาคะ ถ้าคุณอามัวแต่ยุ่งกับงานการกุศลจนปล่อยให้บ้านตัวเองเป็นสถานพักฟื้นขนาดนี้ ตาว่ามันน่าสังเวชนะคะ”
“ระวังคำพูดหน่อยสิตา” ทรงพลปราม
“ตาไม่สนหรอกค่ะ คุณอาก็เหมือนกัน อยากได้ลูกสะใภ้มากหรือไง ทำไมไม่บอกตาล่ะคะ”
“สิตา...หยุดเดี๋ยวนี้ คุณกำลังลามปามพ่อแม่ผมนะ ผมว่าคุณกลับไปดีกว่า”
“กลับก็ได้ แต่วินต้องไล่แม่นั่นออกไปจากบ้านตอนนี้ ไม่งั้นตาไม่ยอมแน่”
สิตาเอาจริง ศุภารมย์ตัดปัญหาหันไปเรียกป้าจวนให้ตามยอดกับนพกรมาด่วน ส่วนวรรณิตช่วยพาลิลินออกไปก่อน แต่ไม่ทันจะก้าวขา สิตาก็คว้าแจกันจะปาใส่ลิลิน ทิวัตถ์รู้ทันดึงเธอหลบได้หวุดหวิด สิตาเลยโมโหเข้าไปใหญ่ กรีดเสียงว่าทิวัตถ์เห็นมันดีกว่าตน
ว่าแล้วจะเข้าทำร้ายลิลิน ทิวัตถ์เลยต้องอุ้มเธอออกไปกำราบ นพกรแอบมองอยู่ออกอาการไม่พอใจสิตาที่จะทำร้ายลิลิน
“วินปล่อยนะ...ปล่อยตาสิ”
“ผมไม่ยอมปล่อยให้คุณเข้าไปยุ่งวุ่นวายในบ้านผมแน่”
“วิน! วินลืมไปแล้วหรือไงว่าแม่นั่นมันเป็นลูกใคร แล้วมันเคยปั่นหัวอะไรวินไว้บ้าง”
“ไม่มีใครปั่นหัวผมได้ทั้งนั้น...ยกเว้นก็แต่คุณนั่นแหละตา”
สิตาอยากจะกรี๊ด แต่ทิวัตถ์ไม่เปิดโอกาส ขัดขึ้นเร็วจี๋ว่า
“คุณลินไม่ได้บอกให้ผมทำ ผมต่างหากที่เป็นฝ่ายขอให้เขามาอยู่ที่นี่ เพราะผมต้องการดูแลเขาตอนที่เขาไม่สบาย”
“มันอาจจะตบตาวินอยู่ก็ได้ มันไม่ได้ความจำเสื่อมจริง ที่มันทำเพราะมันอยากอยู่ใกล้วิน แค่นี้วินดูไม่ออกเหรอคะ”
“ไม่มีใครเค้าคิดอะไรแบบนั้นหรอกตา”
“งั้นวินก็เลือกมา ระหว่างตาหรือแม่นักร้องนั่น”
“คุณกลับไปก่อนเถอะ”
“วินไม่ตอบ...วินเลือกมันใช่มั้ย” สิตาโวยวายและตั้งท่าจะอาละวาดอีก ทิวัตถ์เลยชิงเดินหนีเข้าบ้าน ทิ้งเธอยืนฮึดฮัดขัดใจ โดยไม่รู้ว่ามีสายตาดุดันของนพกรจ้องมองมาพร้อมเสียงสบถด้วยความแค้นแทนลิลินว่า
“นังบ้า!”
วรรณิตพาลิลินหลบไปอีกทาง ต่างคนต่างโล่งใจที่ไม่โดนลูกหลง ลิลินเหลือบเห็นอนันยชเดินตามมาจึงขอตัวกลับห้องเพราะเกรงใจสามีภรรยา พอเธอผละไป อนันยชก็แสดงท่าทีหงุดหงิดแขวะวรรณิตทันที
“กับคนอื่นล่ะทำเป็นห่วงเป็นใย ทีกับผัวตัวเองล่ะไม่ทักสักคำ”
วรรณิตไม่อยากทะเลาะทำท่าจะเดินหนี แต่อนันยชยังไม่เลิกแขวะ
“จะรีบไปนั่งสมาธิหรือไง หรือจะไปแผ่ส่วนบุญให้ผมมีความสุข บอกไว้เลยนะ ผมรับส่วนบุญของคุณไม่ได้ แล้วผมก็ไม่ต้องการความสุขแบบนั้นด้วย”
“คุณต้องการอะไรจากฉันกันแน่ หรือการทำให้ฉันเจ็บช้ำน้ำใจมันทำให้คุณมีความสุข”
“ใช่”
“คุณวัน!! ณิตเองก็ไม่ได้อยากเป็นอย่างนี้ บอกณิตสิคะว่าณิตต้องทำยังไงถึงจะทำให้คุณวันเลิกทำอย่างนี้กับณิตซะที”
“หย่ากับผมไง” อนันยชสะบัดเสียงใส่แล้วเดินหน้าตึงจากไป ทิ้งให้วรรณิตยืนอึ้ง คิดทบทวนคำพูดของเขา
อ่านละคร ลีลาวดีเพลิง ตอนทีี่ 15 วันที่ 31 ม.ค. 58
ละครเรื่องลีลาวดีเพลิง บทประพันธ์ : กิ่งฉัตรละครเรื่องลีลาวดีเพลิง บทโทรทัศน์ : อภิวัฒน์ เล่าสกุล
ละครเรื่องลีลาวดีเพลิง กำกับการแสดง : ตรัยยุทธ กิ่งภากรณ์
ละครเรื่องลีลาวดีเพลิง ผลิต : บริษัท ปรากฏการณ์ดี จำกัด
ละครเรื่องลีลาวดีเพลิง ควบคุมการผลิต : ชวลิต พงศ์ไชยยง
ละครเรื่องลีลาวดีเพลิง ออกอากาศ ทุกวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ เวลา 20.30 น. ทาง ช่อง7 และ 7HD
ที่มา ไทยรัฐ