อ่านเรื่องรอยรักแรงแค้น ตอนที่ 2 วันที่ 29 ส.ค. 58

อ่านเรื่องรอยรักแรงแค้น ตอนที่ 2 วันที่ 29 ส.ค. 58

พยานในศาลช่วงเช้านี้เป็นนายแพทย์ผู้ผ่าศพพิสูจน์และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน

แพทย์ผู้ทำการผ่าศพให้การว่า เนื่องจากศพขึ้นอืดจึงไม่สามารถตรวจสอบระบบอื่นภายในร่างกายได้ แต่พอจะมองเห็นรอยช้ำบริเวณรอบคอและแผลที่ศีรษะด้านหลังเป็นการกระทบของแข็งจนกระโหลกยุบ

เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานให้การว่า พบร่องรอยการต่อสู้แต่ไม่พบรอยนิ้วมือผู้อื่นนอกจากสามีและภรรยาเท่านั้น มีรอยกระสุน 5 นัด ที่บริเวณผนังห้องและเก้าอี้



ต่อมาเป็นการให้การของนายไสว สาวทอง โดยมีอัยการประสงค์เป็นผู้ซักถาม คิมหันต์นั่งข้างชุมสายในฐานะเป็นโจทก์ร่วม

อัยการถามไสวว่าเป็นคนสวนมากี่ปีแล้ว? ใกล้ชิดวิมลรัตน์ไหม? เธอเป็นคนอย่างไร? ไสวตอบว่าเป็นคนสวนมาสิบปีแล้ว ใกล้ชิดกับผู้ตาย และผู้ตายเป็นคนดี เป็นกันเองกับลูกน้องกับคนงาน ใครขออะไรก็ให้ ปีใหม่ก็แจกเงินคนงานเป็นหมื่น

เมื่ออัยการถามว่ารู้จักจำเลยไหม เขาเป็นใคร เป็นสามีนานหรือยัง บรรยากาศหลังจากจำเลยเข้ามาอยู่ในบ้านแล้วต่างกับก่อนเข้ามาอยู่หรือไม่

ไสวตอบว่าจำเลยเป็นสามีผู้ตายมาประมาณสามปีแล้ว นับแต่จำเลยเข้ามาอยู่ในบ้าน ผู้ตายอารมณ์เสียบ่อยกว่าเมื่อก่อน และมีเรื่องทะเลาะกันบ่อยขึ้น เรื่องที่ทะเลาะกันคือจำเลยขอเงิน ผู้ตายให้บ้างไม่ให้บ้าง ถ้าวันไหนไม่ให้ก็ทะเลาะกัน ส่วนการทะเลาะกันก็มีทั้งเบาๆ และแรง แต่หลังๆแรงขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดจำเลยขู่ว่าถ้าไม่ได้เงินจะฆ่า

เมื่ออัยการโจทก์หมดคำถาม ทนายจำเลยคือนายบรรเจิดก็ลุกขึ้นซักถามไสวต่อทนายบรรเจิดถามไสวว่า ความจำยังดีอยู่นะ ไสวยืนยันว่าดี ทนายจึงถามว่า

“วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2558 วันเกิดเหตุ นายไสวอยู่ที่บ้านหรือเปล่า”

“ไม่อยู่ครับ ผมกลับร้อยเอ็ดตั้งแต่วันที่สิบสอง”

“หมดคำถามครับ” บรรเจิดกลับไปนั่งประจำที่ เขายิ้มและตบไหล่ธาดาเบาๆ

คิมหันต์ถามชุมสายงงๆ ว่าทำไมถามนิดเดียว ชุมสายเองก็ตอบงงๆว่า

“ไม่รู้ว่ะ”

ทนายบรรเจิดอ่านเอกสารสำนวนสอบปากคำต่อหน้าพยานว่า “นางถวิล สาวทอง เป็นภรรยานายไสว เบิกความว่าจำเลยคือนายธาดาลงมือทุบตีภรรยาคือคุณวิมลรัตน์ผู้ตายอยู่บ่อยๆ ตอนที่มีอารมณ์ พยานหมายถึงตอนโกรธตอนโมโหใช่ไหม”

ถวิลบอกว่า “ตอนไม่ได้ดั่งใจ” บรรเจิดถามว่าแล้วพยานบอกใครบ้างไหม ถวิลตอบว่าไม่ได้บอก ไม่กล้า บรรเจิดซักถามอีกว่าทำไมไม่กล้า ถ้าบอกแล้วจะเป็นอย่างไร

“คุณมลบอกว่า เรื่องในบ้านห้ามเอาไปพูดข้างนอกเป็นอันขาด ถ้าพูดจะถูกไล่ออก”

“อืม...เนี่ยนะเจ้านายที่ใจดีกับลูกน้อง” ทนายบรรเจิดพูดลอยๆ ถูกอัยการค้านว่าทนายใช้สำนวนประชด

แต่ทนายบรรเจิดยังซักถามต่อไปอีกว่าเรื่องที่เอาไปพูดข้างนอกไม่ได้นั้นมีอะไรบ้าง ถวิลอึกอัก ทนายถามนำว่า เรื่องเหล้าหรือเปล่า หรือเรื่องผู้ชาย นางวิมลรัตน์แอบคบผู้ชายอื่นอีกใช่ไหม

คิมหันต์ทนฟังไม่ได้ลุกขึ้นตะโกนลั่นให้หุบปากหยุดล่วงเกินพี่มลได้แล้ว บรรเจิดถามว่าเขามีสิทธิ์อะไรมาสั่งตน คิมหันต์ตะโกนใส่หน้าว่าจะหยุดหรือไม่หยุด ทนายบรรเจิดบอกว่าไม่หยุด เท่านั้นเองคิมหันต์ก็พุ่งเข้าหาทันที จนชุมสายต้องรั้งไว้ และผู้พิพากษาก็สั่งให้ทุกคนหยุด หากมีพฤติกรรมเช่นนี้อีกจะไล่ออกนอกห้อง เตือนทนายบรรเจิดว่า

“แล้วทนายจำเลยก็ควรจะหลีกเลี่ยงคำถามที่เสียดสีหรือแฝงนัย เยาะเย้ยถากถางกันด้วย”

เมื่อทั้งสองฝ่ายคำนับรับคำเตือนของศาล ทนายบรรเจิดถามเป็นคำถามสุดท้ายว่า วันที่ 14 กุมภาพันธ์วันเกิดเหตุพยานอยู่ที่ไหน ถวิลบอกว่าอยู่ร้อยเอ็ดกับสามี ทนายบรรเจิดคำนับศาลแล้วจงใจเดินเฉียดคิมหันต์พูดเบาๆ แต่ชัดเจนว่า

“อย่าคิดทำอย่างนี้กับฉันอีกนะไอ้หนู...ไม่ได้กินหรอก”

“แล้วมึงเก่งนักเหรอ พูดจาแดกดันให้ร้ายคนตายอย่างนี้ เก่งนักเหรอ เก่งนักใช่ไหม” คิมหันต์ลุกกระชากคอเสื้อบรรเจิด จนผู้พิพากษาเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำศาลและสั่งพักการพิจารณาคดี

เมื่อทนายบรรเจิดเดินออกมาถึงหน้าศาลอาญา นักข่าวสัมภาษณ์ทนายบรรเจิด เขาให้สัมภาษณ์อย่างสมเพชว่า

“ตั้งแต่เป็นทนายมาสามสิบปี ไม่มีคดีไหนที่ฝ่ายโจทก์ป่าเถื่อน กักขฬะ ใช้ความรุนแรงถึงขั้นทำร้ายร่างกายกันกลางศาล อันนี้มันบ่งบอกพื้นฐานนิสัยของตนในตระกูลนี้ได้เป็นอย่างดี” นักข่าวถามว่าแล้วจะเอาผิดเรื่องนี้ไหม “ไม่อยากไปตอแยด้วย เดี๋ยวถึงตอนพวกเขาแพ้คดีจะมาทำร้ายผมมากกว่านี้ ผมก็แย่สิ แต่สังคมก็ต้องช่วยปกป้องคนดีคนบริสุทธิ์นะครับ ไม่ใช่ไปอุ้มชูพวกคนพาลชอบใส่ร้ายผู้อื่นอย่างนี้”

คิมหันต์เดินลงบันไดตามมา พรวดเข้ากระชากคอเสื้อบรรเจิดตวาดถาม

“แกว่าใคร แกว่าไครพาล...แกนั่นแหละไอ้ทนายเลว คิดจะทำให้คนผิดกลายเป็นคนถูก...ไอ้ชั่ว”

ชุมสายกับมุกรินที่เดินตามมารีบเข้าแยกคิมหันต์ออกมา ทนายบรรเจิดได้ทีประกาศแก่นักข่าวว่า

“ดูสิครับ น้องนักข่าวดูมันทำสิครับ ไอ้นิสัยอย่างนี้ล่ะครับ โทษคนอื่นตลอด คิดเอาเองตลอดว่าคนนั้นผิดคนโน้นผิด ไอ้คนแบบนี้เราจะเชื่อถืออะไรได้”

คิมหันต์โต้ตอบอย่างมีอารมณ์จนชุมสายต้องเตือนเสียงดังเขาจึงหยุด ชุมสายขอโทษทนายบรรเจิดแทนเพื่อนตนด้วย ทนายบรรเจิดส่ายหน้าไม่ตอบ แล้วหันไปพูดกับมุกรินก่อนเดินแยกไปว่า

“คุณมุกรินอย่าลืมที่เราตกลงกันนะครับ เพื่อคุณธาดาพี่ชายของคุณ คุณคือไพ่ใบสุดท้าย ไม้ตายของผม”

คิมหันต์ได้ยิน เขามองหน้ามุกรินนิ่ง

ooooooo

พักตราติดตามคดีของคิมหันต์อย่างใกล้ชิด เธอถามอรรถผู้เป็นพ่อว่าตนควรไปศาลไหม อรรถถามว่าไปทำไม

“ไปให้กำลังใจไงคะ” อรรถถามว่าฝ่ายไหน มันก็เพื่อนกันทั้งสองฝ่ายไม่ใช่หรือ “ข้างหนึ่งอาจจะเป็นเพื่อน ใช่...แต่อีกข้างหนึ่งแฟนเก่าค่ะ และพักตร์กำลังอยากจะเปลี่ยนให้เขาเป็นแฟนใหม่”

“เหลวไหลน่ะลูก” อรรถพูดแล้วเดินไปอย่าง ไม่สนใจ ต่อมาเมื่อเธอติดตามข่าวที่ศาลแล้ว ถามอรรถว่าธาดาจะรอดไหม อรรถถามว่า “รอดหรือไม่รอดมีผลกับหนูไหมล่ะ”

“ก็อาจจะมีนิดหน่อย พักตร์จะได้เลือกแผนเดินเกมได้ถูก”

“อย่าเล่นเกมให้มันมากนักนะลูก ความรักมันเป็นเรื่องของอารมณ์และหัวใจ ไม่ใช่แผนการ” เมื่อเธอยังรบเร้าถามว่าธาดาจะรอดไหม อรรถบอกว่า

“อยู่ที่ทนาย พ่อรู้แต่ว่านายบรรเจิดเป็นทนายที่เก่งมาก เขี้ยวลากดิน เลยล่ะ”

หลังจากติดตามข่าวที่ศาลจากทีวีแล้ว พักตราโทร.หาชุมสายถามว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน

คิมหันต์ มุกริน และอัยการประสงค์ นั่งกันอยู่ในห้องอาหาร วีไอพีที่ภัตตาคารจีนอย่างเป็นส่วนตัว บรรยากาศเครียดๆ อัยการอาวุโสประสงค์เอ่ยขึ้นว่า

“ผมผิดหวังในตัวคุณจริงๆเลย คุณไม่ใช่เด็กแล้ว แต่กลับทำตัวยิ่งกว่าเด็กอีก เด็กที่วุฒิภาวะไม่เท่าคุณเขายังไม่กล้าทำอย่างนี้เลย เพราะเขายังมีสามัญสำนึกโดยพื้นฐานว่าอะไรควรอะไรไม่ควร นี่คุณก้าวข้ามสิ่งเหล่านั้นไปหมด คุณปล่อยให้อารมณ์เป็นตัวนำพาจนผลที่ออกมามันมีแต่เสียกับเสีย คุณเข้าใจไหม”

ทุกคนอึ้งพูดไม่ออก พนักงานเข้ามาถามว่าจะสั่งอาหารก่อนไหม ประสงค์บอกว่ายัง พร้อมจะสั่งเมื่อไรแล้วจะเรียก พอพนักงานออกไป ชุมสายก็เดินถือโทรศัพท์เข้ามาบอกว่าพักตราโทร.มาถามว่าอยู่ที่ไหน คิมหันต์ถามทันทีว่าตอบไปว่าไง?

“ก็ไม่รู้จะเลี่ยงยังไงว่ะ” ชุมสายบอกแล้วนั่งร่วมวง ประสงค์จึงพูดต่อว่า

“ผมบอกให้นะ ดูจากแนวทางการต่อสู้คดีของเขาเนี่ย เราเหนื่อยแน่...รับรอง”

“ผมไม่เข้าใจ เหนื่อยยังไงก็เห็นๆอยู่ว่ามันเป็นฆาตกรรม เป็นการจงใจฆ่าชัดๆ” คิมหันต์โพล่งอย่างไม่สบอารมณ์

“เห็นๆอยู่น่ะ ใครเห็น? มีใครเห็นกับตาไหม? ทั้งหมดมันเป็นความรู้สึกและฝ่ายนู้นเขากำลังจะบอกศาลว่า ความรู้สึกไม่ใช่เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ มันคือการคาดเดา และคุณก็คือตัวอย่างของการคิดเอาเอง เดาเอง และใช้อารมณ์ตัดสินตามความเชื่อของตัวเอง” พูดแล้วประสงค์ลุกขึ้นบอกว่าขอไปห้องน้ำก่อน

คิมหันต์มองมุกริน นิ่งอยู่อึดใจจึงถามว่า บอกได้ไหม ไพ่ใบสุดท้าย ไม้ตายของบรรเจิดคืออะไร เธอบอกว่าตนก็ไม่รู้เหมือนกัน คิมหันต์ฉุนกระชากเสียงถาม “ไม่รู้หรือไม่ยอมบอกผม!”

“คิม...มุกจะทำอย่างนั้นเพื่ออะไร” คิมหันต์โพล่งไปว่า เพื่อพี่ชายเธอไง! แล้วต่างมองหน้ากันนิ่ง

พักตราเข้ามาเอ่ยสวัสดีทุกคนแล้วทักว่ากำลังเครียดเลยล่ะสิ ทักมุกรินเป็นพิเศษว่าเธอก็เครียดไม่แพ้คนอื่นเลยนะ

คิมหันต์บอกว่าพวกเรากำลังคุยเรื่องคดีกัน เธอ ไม่ควร...พักตราตัดบทว่าตนยุ่งไม่กวนหรอก แค่มาให้กำลังใจด้วยความเป็นห่วงเท่านั้น เพราะเราเป็นเพื่อนกันทั้งนั้น ถามมุกรินว่าใช่ไหม เล่าข่าวที่ตนฟังมา ถามว่าพวกเรากำลังเพลี่ยงพล้ำเป็นรองฝ่ายโน้นใช่ไหม พอประสงค์บอกว่า มากเลยล่ะ พักตราหันไปถามมุกรินว่า

“มุกว่าไง เธอไม่คิดจะช่วยอะไรคู่หมั้นเธอบ้างเหรอ” มุกรินบอกว่าอะไรที่ช่วยได้ตนก็ช่วยอยู่แล้ว งั้นก็บอกพี่ชายเธอให้สารภาพเลยสิ จะได้จบเรื่อง”

เห็นมุกรินอึ้งพักตราทำเป็นนึกได้ “เอ...แต่ที่จริงเธอยืนอยู่คนละฝั่งกับเราเลยนะเนี่ย ใช่ไหม” พูดแล้วมองหน้าทุกคนเชิงขอความเห็นแต่ไม่มีใครพูดอะไร

พูดไปพูดมาพักตราก็กันมุกรินออกไปอ้างว่าเธอเป็นส่วนเกิน เพื่อความสบายใจของทุกคนเธอน่าจะออกไปจากห้องนี้พวกตนจะได้พูดถึงพี่ชายเธอได้อย่างสะดวกปาก ถามคนอื่นว่าว่ายังไง? ไม่มีใครแสดงท่าทีทั้งที่เห็นด้วย มุกรินดูออกจึงเป็นฝ่ายออกไปเอง พอมุกรินออกไป พักตราก็เจ้ากี้เจ้าการทันที

“ดื่มอะไรเย็นๆให้ผ่อนคลายกันหน่อยดีไหมจ๊ะ ...เดี๋ยวพักตร์สั่งเอง”

ooooooo

มุกรินนั่งแท็กซี่กลับอย่างรู้สึกเดียวดายที่ถูกกันออกกลายเป็นส่วนเกินของกลุ่ม จนมาถึงหน้าบริษัท พนักงานพากันกลับไปหมดแล้ว แต่ปรารภยังอยู่ ออกมาเจอเธอนั่งนิ่งอยู่ในแท็กซี่ เขามาเรียกให้เข้าไปนั่งข้างในดีกว่า

“เดี๋ยวสั่งอะไรมากินกัน...น่าจะสบายกว่านั่งในแท็กซี่ อย่างน้อยโต๊ะพี่ก็ไม่ติดมิเตอร์” เขาพูดติดตลกจนมุกรินยิ้มออก เมื่อเข้าไปนั่ง ปรารภชวนคุยเรื่องเบาๆ ให้เธอผ่อนคลายยิ้มออก แต่มุกรินบอกเขาว่านั่นก็แค่ภายนอก แต่ในใจตนไม่ได้ยิ้มอย่างที่เขาเห็นเลย

“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม พี่ขอให้มุกรู้นะว่าพี่รภอยู่ข้างมุกเสมอ มุกเป็นลูกน้องที่สำคัญที่สุดและมีความหมายกับพี่รภที่สุด” มุกรินถามหยอกว่า ถามจริง? เขาพูดยิ้มๆว่า “รองจากลูกชายพี่นิดนึง”

นั่งทานอาหารและคุยกันจนจะกลับ ปรารภถามว่าไม่โทร.หาเขาหน่อยหรือ มุกรินส่ายหน้า

“พี่เห็นจากข่าวแล้ว พี่เดาว่าบรรยากาศที่ศาลคงอึดอัดน่าดู มุกต้องไม่ปล่อยให้เขารู้สึกว่าเราอยู่ตรงข้ามกับเขานะ ไม่ว่าเขาจะหันไปทางไหน เขาควรจะเห็นมุกคอยให้กำลังใจเขาอยู่” หว่านล้อมแล้วถาม “เปลี่ยนใจโทร.หาเขาไหม”

มุกรินพยักหน้าแต่ไม่ทันโทร. มือถือของเธอก็ดังขึ้น มุกรินดูหน้าจอแล้วบอกปรารภว่า “พักตราค่ะ”

พักตราโทร.มาแสดงความเป็นห่วงเธอ บอกว่าคู่หมั้นของเธอนั้นหลังจากวางแผนการสู้คดีกันอย่างแหลมคมแล้วก็เมาแอ๋ แต่ไม่ต้องห่วงตนจะดูแลให้เอง มุกรินขอบใจบอกว่าตนไม่มีปัญหา

พักตราโทร.มาทำสงครามจิตวิทยากับมุกรินว่า เรื่องคดีความนั้นคิมหันต์ชนะแน่นอน แล้วบ๊ายบายเลย

ปรารภตั้งข้อสังเกตกับมุกรินว่า “ผมว่าพักตราเป็นอีกคนนึงที่น่ากลัวสำหรับมุกนะ”

ความจริงแล้วคืนนี้ที่ประชุมกลุ่มคิมหันต์วางแผนสู้คดีกัน ชุมสายยอมรับว่าฝ่ายเราไม่มีพยานยืนยันเหตุการณ์คืนนั้นได้เลยแม้แต่คนเดียว ส่วนประเด็นที่ว่าวิมลรัตน์ติดเหล้าล้มเองในห้องน้ำจนเสียชีวิตก็เหลือเชื่อ เรื่องที่ต่างฝ่ายต่างมีชู้ก็ฟังไม่ขึ้น คุยกันถึงเรื่องทรัพย์สินและพินัยกรรม คิมหันต์รับปากว่าตนจะลองค้นดู

ประสงค์สรุปว่า เรื่องหนี้สิน เรื่องติดการพนันของธาดา เราต้องหาพยานหลักฐานเพิ่มให้ชัดเจน และชุมสายก็เสนอให้นัดพยานมาซักซ้อมเพื่อความเข้าใจอีกน่าจะดี

ooooooo

เช้านี้มุกรินไปที่บ้านคิมหันต์ เจอพักตราเดินออกมาพอดี พักตราพูดออกตัวว่าตนเพิ่งมาไม่ได้ค้างที่นี่ ตนเอาอาหารเช้ามาให้คิมหันต์แต่แม่บ้านบอกว่ายังไม่ตื่นเลยจะกลับ บอกมุกรินว่าอย่าเพิ่งเข้าไปเลยปล่อยให้เขาพักผ่อนดีกว่าแล้วผละไป

แต่พอพักตราขับรถออกไป ถวิลก็เดินมาถามมุกรินว่าจะเข้าบ้านไหม คิมหันต์ตื่นนานแล้วแต่ให้บอกพักตราว่ายังไม่ตื่น ถวิลจะเข้าไปบอกคิมหันต์ว่าเธอมา

“ไม่เป็นไร ฉันต้องรีบไปธุระต่อ” มุกรินส่งถุงอาหารให้ “ฝากให้เขาด้วยแล้วกัน” แล้วเดินไปขึ้นรถก็ได้รับโทรศัพท์จากคิมหันต์ที่โทร.จากโถงในบ้านถามว่า มาแล้วทำไมไม่เข้ามาในบ้าน มุกรินอ้างว่าเผื่อเขาหารือเรื่องคดีอยู่ตนไม่อยากไปขัดจังหวะ คิมหันต์ขอบคุณสำหรับกาแฟและแซนด์วิช เอ่ย

“แล้วเจอกัน” ก่อนวางสาย

มุกรินขับรถอย่างสับสนว่า ระหว่างตนกับคิมหันต์ ควรจะมีท่าทีอย่างไร?

เมื่อไปเยี่ยมธาดาที่เรือนจำ เขาถามว่าทนายบรรเจิดคุยอะไรอีกหรือเปล่า มุกรินบอกว่าไม่ได้คุยแต่บอกว่าคดีนี้น่าจะจบได้ไม่ยาก ธาดาถามว่า ถ้าตนพ้นผิด เธอกับคิมหันต์จะเป็นอย่างไร มุกรินถอนใจบอกว่า “ไม่รู้สิคะ”

“ได้คุยกับเขาบ้างไหม” มุกรินบอกว่านิดหน่อย “พี่ว่า ถ้ามันใจแคบอย่างนี้ มุกก็อย่าไปแคร์มันเลย”

มุกรินถามว่า แล้วถ้าพี่ใหญ่แพ้ล่ะ? “ไม่มีทาง พี่ไม่ได้ทำอะไรผิด มุกต้องเชื่อพี่สิ มุกจะปล่อยให้คนบริสุทธิ์อย่างพี่เข้าไปรับโทษที่ตัวเองไม่ได้ทำได้ยังไง แค่พี่ไม่ได้ประกันตัวอย่างทุกวันนี้ มันก็หนักหนาเกินพอแล้วนะมุก...ถ้าทนายบรรเจิดขอให้มุกทำอะไร มุกต้องทำตามเขานะ...เพื่อพี่นะมุก”

ประสงค์และชุมสายเรียกพยานสองปากคือกิ่งแก้วเพื่อนสนิทของวิมลรัตน์และกบพนักงานในร้านมาซ้อมคำให้การ

“ขอบคุณทั้งสองท่านด้วยนะ ที่ยินดีเป็นพยานให้เรา ยังไงๆก็คิดเสียว่าทำเพื่อเจ๊มลนะครับ” ชุมสายเอ่ย กบบอกว่าเพื่อความถูกต้องด้วย “ใช่ครับ เพื่อความถูกต้อง เรามาซักซ้อมขั้นตอนในศาลกันนิดหนึ่งนะครับ ถึงเวลาจริงจะได้ไม่ตื่นเต้น เพราะการตื่นเต้นหรือประหม่า อาจทำให้การเบิกความของเราขาดน้ำหนักและดูไม่น่าเชื่อถือ”

กิ่งแก้วบอกว่าตนพูดความจริงยังไงก็น่าเชื่อถืออยู่แล้ว แต่พอชุมสายบอกว่าต้องสาบาน กบถามตื่นๆว่าต้องสาบานด้วยหรือ จากนั้นประสงค์ก็กล่าวนำคำสาบานให้ทั้งสองว่าตาม กบถามว่า “แล้วยังไงต่อคะ”

“จากนั้นผมจะเป็นคนซักถามเพื่อให้พยานตอบ...

ผมจะถามคุณกิ่งแก้วเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างนายธาดากับเจ๊มล ส่วนคุณกบผมจะเน้นไปที่เรื่องการติดพนันของนายธาดา เข้าใจนะครับ”

ประสงค์ซักซ้อมขั้นตอนและประเด็นที่จะซักถามของทั้งสองคนจนเป็นที่เข้าใจกัน

ooooooo

การซักซ้อมพยานโจทก์ที่สำนักงานกฎหมายบูรพา กบบอกประสงค์ว่าตนมั่นใจมาก ประสงค์ย้ำกับกิ่งแก้วว่า ในฐานะที่เธอเป็นเพื่อนสนิทของเจ๊มล ในขั้นพนักงานสอบสวนเธอใช้คำว่า มันจงใจมาหลอกเอาเงินใช่ไหม? หลอกยังไง?

เมื่อไปขึ้นศาล กิ่งแก้วให้การว่าธาดามาหลอกเอาเงินจากวิมลรัตน์ ถ้าเจ๊มลไม่รวยเขาไม่มีวันแต่งงานด้วยเด็ดขาด ยืนยันว่าธาดาเป็นคนพูดคำนี้เองที่บ้านตอนงานปีใหม่ที่ผ่านมานี่เอง ประสงค์ซักว่าพูดอย่างไร กิ่งแก้วขอยกคำของธาดามาทั้งดุ้น พูดออกตัวว่าอาจจะหยาบคายหน่อยว่า

“คนอย่างกู หน้าตาดีๆอย่างนี้ หาเมียเด็กได้สบายๆ แต่ที่ยอมอยู่กับอีแก่อย่างมึงนี่ก็เพราะเงินเท่านั้นแหละ” แล้วด่าอย่างหยาบคาย แล้วยังพูดอีกว่า

“กูยอมเป็นผัวมึงแล้ว มึงก็ต้องปรนเปรอยกเงินทองให้กูหน่อยซี่...ไม่งั้นมีตบ มีตาย เดี๋ยวจะหาว่าผัวไม่เตือน”

อ่านเรื่องรอยรักแรงแค้น ตอนที่ 2 วันที่ 29 ส.ค. 58

ละครรอยรักแรงแค้น บทประพันธ์โดย ชลาลัย
ละครรอยรักแรงแค้น บทโทรทัศน์โดย ศรัณยู วงษ์กระจ่าง
ละครรอยรักแรงแค้น กำกับการแสดงโดย ศรัณยู วงษ์กระจ่าง
ละครรอยรักแรงแค้น ผลิตโดย บริษัท สามัญการละคร จำกัด
ละครรอยรักแรงแค้น ออกอากาศทุกวันพุธ-พฤหัสบดี เวลา 20.20 น.
ติดตามชม ละครรอยรักแรงแค้น ได้ทางทางช่อง 7 สี
ที่มา ไทยรัฐ