อ่านเรื่องรอยรักแรงแค้น ตอนที่ 3 วันที่ 31 ส.ค. 58

อ่านเรื่องรอยรักแรงแค้น ตอนที่ 3 วันที่ 31 ส.ค. 58

“กูยอมเป็นผัวมึงแล้ว มึงก็ต้องปรนเปรอยกเงินทองให้กูหน่อยซี่...ไม่งั้นมีตบ มีตาย เดี๋ยวจะหาว่าผัวไม่เตือน”

เมื่อประสงค์หมดคำถาม บรรเจิดบีบไหล่ให้กำลังใจธาดาที่นั่งกระสับกระส่ายแล้วลุกขึ้นซักค้าน

บรรเจิดซักถามกิ่งแก้วถึงภาวะ “เหงา” ของสาวใหญ่ที่ไม่มีสามี แล้วถามว่า

“ในอดีต เคยมีชายหนุ่มรูปหล่อมายืนข้างหน้าพยานแล้วบอกว่าเขายอมถอดเสื้อผ้าให้คุณกอดจูบเพื่อแลกเงินหลักหมื่น คุณจำเหตุการณ์นี้ได้ไหม” กิ่งแก้วอึกอัก บรรเจิดซักต่อ “พอจะจำได้ไหมว่าคุณยอมควักเงินเป็นหมื่นรึเปล่า”



ประสงค์ค้านว่านี่เป็นคำถามที่ไม่เกี่ยวกับประเด็น บรรเจิดโต้ว่า ตนกำลังจะบอกว่ากิ่งแก้วกับวิมลรัตน์ที่เป็นเพื่อนสนิทกันเคยเอาเงินฟาดหัวผู้ชายเพื่อกามกิจ ทั้งคู่เคยทุ่มเงินแข่งกันเพื่อแย่งผู้ชายคนเดียวกันด้วย แล้วถามกิ่งแก้วว่าจริงไหม

กิ่งแก้วอึกอัก ทนายบรรเจิดเอากระดาษเล็กๆ สองแผ่นมา อ้างว่านี่คือโน้ตที่ทั้งคู่เขียนส่งให้ผู้ชายคนนั้น แล้วขออนุญาตศาลอ่านให้พยานฟัง

“ฉันให้เธอห้าหมื่น แลกกับจูบปากฉันและยอมให้ฉันลูบเป้าเธอ...จากกิ่งแก้ว” และอ่านของวิมลรัตน์ว่า “เอาไปแสนนึงสดๆ แต่เธอต้องนอนแก้ผ้ากับฉันทั้งคืน ถ้าติดใจอาจมีโบนัสเพิ่ม จากเจ๊มล”

ทนายบรรเจิดยืนยันกับศาลว่าผู้ชายคนนั้นคือธาดา ผู้ตกเป็นจำเลยในคดีนี้ พยานอาจจะปฏิเสธว่ากระดาษโน้ตแผ่นนั้นไม่ใช่ของพยาน ถูกประสงค์ค้านอีกว่านั่นไม่เกี่ยวกับคดี ขอความกรุณาศาลอย่านำมาเป็นข้อวินิจฉัยในคดี

“ศาลรู้ว่าอะไรเป็นอะไร อัยการไม่ต้องมาเตือนศาลในข้อนี้หรอก” ผู้พิพากษาเตือน

ทนายบรรเจิดชี้ว่า “หากผู้หญิงคนไหนมีจิตปฏิพัทธ์กับชายจนยอมทุ่มเงินแลกด้วยความเต็มใจ เราจะบอกว่าผู้ชายคนนั้นเป็นฝ่ายหลอกลวงได้ไหม นี่ถ้าพยานยอมทุ่มเงินเกทับมากกว่าคุณวิมลรัตน์ วันนี้อาจจะได้คุณธาดาเป็นสามีไปแล้วก็ได้”

“ไม่มีทาง เพราะที่จริงฉันทุ่มมากกว่าเจ๊มลอีก แต่นายธาดาไม่เลือกฉันเอง” กิ่งแก้วค้าน

ทนายบรรเจิดชี้ทันทีว่าแสดงว่ามีบางสิ่งเหนือ กว่าเงิน เดาว่ามันคือความรัก ส่วนคำพูดที่พยานเบิกความว่าจำเลยพูดในงานปีใหม่ ทนายบรรเจิดถามว่า เป็นงานเลี้ยงภายในของบริษัทใช่ไหม? มีสุราไหม? พนักงานต้องซื้อเองหรือเปล่า?

กิ่งแก้วบอกว่าใช่ เป็นงานเลี้ยงภายในของบริษัท มีสุรา และเจ๊มลเป็นคนเตรียมไว้ให้เป็นลังๆ สุราไม่หมดไม่เลิก และงานเลิกตอนดึก สุราก็ใกล้หมดแล้ว

“พยานแยกออกไหมว่าระหว่างการพูดเล่นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์กับการพูดอย่างมีสติครบถ้วน” ทนายบรรเจิดซัก กิ่งแก้วอึกอักแล้วบอกว่าไม่ทราบ ทนายบรรเจิดเอ่ยแก่ศาลว่า “หมดคำถามครับ”

เมื่อผู้พิพากษาให้สืบพยานโจทก์ปากต่อไป ประสงค์แจ้งแก่ศาลว่า พยานปากต่อไปมีอาการตื่นเต้นวิงเวียนคล้ายจะเป็นลม ขอความกรุณาศาลพักการพิจารณาชั่วครู่เพื่อปฐมพยาบาลก่อน ศาลจึงสั่งพักการพิจารณาครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นอาการเป็นอย่างไรให้มาแจ้งศาลด้วย

ooooooo

ปรากฏว่ากบกลัวตัวสั่นอ้อนวอนอย่าให้ตนขึ้นศาลเลย แล้วตนจะทำบุญไปให้เจ๊มล

“จบกัน” ชุมสายเอ่ยอย่างผิดหวัง

ประสงค์บอกว่ามันจบตั้งแต่กิ่งแก้วแล้ว มีโน้ตบ้าๆอะไรนั่นก็ไม่บอกกันด้วย คิมหันต์บ่นว่าไม่น่าเชื่อว่าจะมีเรื่องแบบนี้ โน้ตตั้งแต่ปีไหน? ใครจะไปคิด!

“ไอ้ทนายบรรเจิดไงที่คิด มันคิดและมันก็เสาะหาหลักฐานมาจนได้ ฝ่ายเราไม่มีอะไรเลย พยานก็ไม่กล้าขึ้นศาลอีก” คิมหันต์ถามว่าแล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป “มีทางเดียว เราต้องซักค้านจำเลยให้จนมุมให้ได้”

มุกรินนั่งดูทีวีอยู่ที่ห้องประชุมใหญ่สำนักงานกฎหมายของทนายบรรเจิด นักข่าวกำลังรายงานว่า...

“ในที่สุด ผู้พิพากษาได้สั่งปิดการพิจารณาคดี เมื่อพยานโจทก์ปากสุดท้ายไม่สามารถขึ้นเบิกความได้เนื่องจากเหตุผลทางสุขภาพ นั่นเท่ากับว่า นัดครั้งต่อไป จะเป็นการสืบพยานจำเลย ซึ่งจนถึงวันนี้ยังไม่มีรายชื่อพยานที่จะขึ้นเบิกความ คงมีแต่เฉพาะตัวจำเลยคนเดียวเท่านั้น”

ทนายบรรเจิดเดินเข้ามาขอบคุณมุกรินที่มาหาตามคำเชิญของตน มุกรินถามว่ามีธุระอะไรกับตนหรือ

“อย่าเรียกว่าธุระครับ มันเป็นหน้าที่ที่ผมต้องคุยกับคุณมุกรินโดยตรง การขึ้นเบิกความเป็นพยานจำเลย ถึงเวลาที่ต้องหงายไพ่ใบสุดท้ายแล้วครับคุณมุกริน”

ฝ่ายประสงค์คุยกับชุมสายและคิมหันต์ขณะนั่งรถกลับด้วยกันว่าทางเดียวที่ฝ่ายโน้นจะหลุดจากข้อหาก็คือทำให้เห็นว่าเป็นอุบัติเหตุ

“เพราะฉะนั้นทางที่เราจะชนะคดีก็คือแสดงให้เห็นว่ามันไม่ได้เป็นอุบัติเหตุ” ชุมสายเสนอ

“ใช่...ผมว่าคุณน่าจะย้อนกลับไปเริ่มต้นที่ ที่เกิดเหตุอีกครั้งนะชุมสาย” ประสงค์เสนอ คิมหันต์ได้แต่นั่งคิดเครียด...

ooooooo

เมื่อทนายบรรเจิดไปเยี่ยมธาดาที่เรือนจำ เขาบอกธาดาว่าทุกอย่างเรียบร้อย ไม่มีอะไรน่า หนักใจ ธาดาถามว่าตนต้องใช้หนี้บุญคุณเขา เท่าไหร่ ทนายบรรเจิดบอกว่าเขาใช้หนี้ให้เสธ.หมดก็พอ

“แล้วน้องสาวผมว่าไงบ้าง” ธาดาถาม ทนายบรรเจิดจึงเล่าถึงการหว่านล้อมมุกรินของตนให้ฟัง บอกธาดาว่า “เธอจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง ผมรับรอง”

ฝ่ายคิมหันต์กับชุมสายก็ไปที่บ้านวิมลรัตน์คาดคะเนเหตุการณ์และจำลองเหตุการณ์กัน คิมหันต์ถามชุมสายว่าเขาทำให้ศาลเชื่ออย่างที่เขาเดาได้หรือ

“ศาลพิจารณาจากหลักฐานและประจักษ์ พยาน” คิมหันต์ติงว่าแต่เราไม่มี “แต่มันมี ไพ่ใบสุดท้ายของมันไง”

“มุกริน” คิมหันต์เอ่ย เมื่อชุมสายบอกว่าใช่ คืนนี้คิมหันต์จึงไปที่บ้านมุกริน เธอถามว่าจะมาทำไมไม่นัดก่อน ได้กลิ่นเหล้าถามว่าเขาดื่มมาหรือ คิมหันต์รำพึงรำพันว่าถ้าเราแต่งงานกันตั้งแต่ตอนนั้น ตนก็คงจะได้นอนกอดเธอบนเตียงนุ่มๆ และเมื่อตนเมากลับมาเธอก็คงจะชงอะไรร้อนๆมาให้ดื่ม

มุกรินไปชงกาแฟและเอาผ้าขนหนูมาให้เขาเช็ดหน้า คิมหันต์บอกว่าตนพูดไม่ได้ต้องการให้เธอทำ

คิมหันต์รำพึงรำพันความรักความฝันร่วมกันในอดีต แล้วถามมุกรินว่ารักตนไหม ยังรักตนอยู่หรือเปล่า มุกรินบอกว่ารักมาก เขาถามว่ามากพอที่จะเลือกตนไหม

“มุกเลือกคิมมาตลอด” เธอชูมือซ้ายให้ดู

แหวนหมั้น “มุกไม่เคยเลือกคนอื่นเลยนอกจากคิม”

“ถ้าคุณต้องแลกอะไรบางอย่างเพื่อรักผม คุณจะยอมแลกไหม”

“แล้วคิมล่ะ คิมจะยอมแลกทุกอย่างเพื่อมุกไหม”

“ผมมีคนที่รักสุดหัวใจไม่กี่คน และผมไม่ต้องการเสียคนเหล่านี้ไปแม้แต่คนเดียว” เขาพูดชัดเจนขณะจ้องหน้าเธอใกล้จนเกือบสัมผัสกัน แล้วถอยออกมา “พรุ่งนี้เจอกันที่ศาลนะมุก” แล้วเดินออกไป ไม่แตะต้องกาแฟและใช้ผ้าขนหนูที่เธอเอามาให้เลย

ooooooo

ที่ศาลอาญา...หลังจากธาดาสาบานต่อหน้าศาลแล้ว ศาลอนุญาตให้ทนายจำเลยซักถามได้

ทนายบรรเจิดซักถามว่าจำเลยรักภรรยาไหม รักแค่ไหน ธาดาตอบว่ารัก รักมากจนยอมตายแทนได้ ทนายขอให้เล่าเหตุการณ์ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ถามว่ายังจำได้ไหม

ธาดาเล่าเหตุการณ์ในคืนนั้น อย่างที่เคยเล่าให้ทนายฟังก่อนหน้านี้ จนถึงตอนที่เล่าว่า ตนจับได้ว่าเธอมีผู้ชายอื่น เธอมีชู้ คิมหันต์ลุกพรวดตะโกนลั่น

“บ้าเหรอ ไม่จริง มันโกหก!” ผลคือถูกศาลเตือนว่าถ้ายังมีพฤติกรรมอย่างนี้อีกศาลจะสั่งขังฐานละเมิดอำนาจศาลแล้วเชิญทนายซักถามต่อ ธาดาเล่าเหตุการณ์จนกลับถึงบ้าน

ระหว่างนั้นผู้ช่วยทนายบรรเจิดพามุกรินเข้าไปในห้องพักพยานบอกให้รอที่นี่แล้วตนจะมาตาม ถามว่าแน่ใจนะว่าพร้อม มุกรินพยักหน้าแต่ไม่พูด
เมื่อประสงค์ซักถามธาดาแล้วขออนุญาตศาลว่า ตนขอแถลงปิดคดีภายในสิบห้าวัน ทนายบรรเจิดจึงลุกขึ้นอีกครั้ง

“ศาลที่เคารพครับ ผมขอระบุพยานเพิ่มเติมอีกหนึ่งปากและพยานปากนั้นได้มาถึงศาลแล้ว เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ขอศาลได้โปรดอนุญาตด้วย” เมื่อศาลอนุญาต มุกรินเดินเข้ามาในห้องพิจารณาคดีท่ามกลางสายตาของทุกคน โดยเฉพาะคิมหันต์สบตากับเธออย่างซ่อนความหมายในแววตา

ทนายบรรเจิดเป็นผู้ซักถามถึงเหตุการณ์ในคืนวันที่ 14 กุมภาพันธ์ มุกรินเล่าตรงกับที่เคยให้การไว้ ทั้งยังรับรองว่าธาดารักวิมลรัตน์มาก ไม่เคยทำร้ายเธอเลย

แต่เมื่อถามถึงการโทร.คุยกับวิมลรัตน์หลังจากได้พบกับธาดาที่บ้านแล้วว่าวิมลรัตน์พูดอะไรบ้าง

มุกรินหันมองหน้าคิมหันต์ก่อนตัดสินใจพูดว่า

“พี่มล...เธอ...ร้อง...ร้องไห้และก็...ร้องเพลง” ทนายบรรเจิดถามว่าเพลงอะไร ขออนุญาตศาลแล้วเปิดให้ฟัง ถามว่าเพลงนี้ใช่ไหม มันเป็นเพลงเศร้าที่วิมลรัตน์เปิดฟังในคืนนั้น...“ค่ะ...เพลงนี้ค่ะ...พี่มลร้องคลอไปกับเสียงเพลงจากแผ่น แล้วก็ร้องไห้ด้วย”

“โกหก!! คุณไม่ได้ยินอะไรเลย คุณไม่ได้ยินอะไรในโทรศัพท์นั้นเลยมุกริน!” ชุมสายบอกให้หยุดพูดแต่คิมหันต์ยังตะโกนไม่หยุด “คุณทำอย่างนี้ได้ยังไงมุกริน...คุณทำได้ยังไง...คุณร่วมมือกับฆาตกรฆ่าพี่สาวผมนะมุกริน!”

ผู้พิพากษาสั่งเจ้าหน้าที่ให้เอาตัวคิมหันต์ออกไป เขาหันมากล่าวอาฆาตมุกรินอย่างโกรธแค้นว่า

“มุก...จำวันนี้ไว้นะ วันที่คุณทำกับผม ทำกับวิญญาณของพี่มล...วันนี้ไม่ใช่วันประกาศชัยชนะของคุณหรอกนะ แต่มันเป็นวันเริ่มต้นการจองเวรของผม รอรับมือจากผมด้วยนะมุกริน คุณสมรู้ร่วมคิดกับฆาตกร...จำไว้ มุกริน!!”

มุกรินก้มหน้านิ่ง เศร้า และตื่นกลัว ทนายบรรเจิดบอกเธอว่า

“คุณทำดีที่สุดแล้วครับ คุณมุกริน”

ooooooo

คิมหันต์ไปบอกกล่าววิมลรัตน์ที่โลงเก็บศพรอ กำหนดเผา ว่าตนทำดีที่สุดแล้ว เต็มที่ เต็มสติปัญญาแล้ว ยอมรับว่า ใครบอกว่าตนใช้อารมณ์ ตนยอมรับว่าคงจะจริง...

“แต่ผมไม่อาจยับยั้งอารมณ์สูญเสียครั้งนี้ได้ มนุษย์ปุถุชนทุกคนที่รู้ดีรู้ชั่วย่อมเข้าใจได้ว่า ทำไมผมถึงทำอย่างนี้...บางคนบอกว่าผมทำให้ทุกอย่างมันแย่ลง ผมทำให้น้ำหนักในการเอาผิดไอ้ฆาตกรเบาบางลง

ไม่ใช่เลยพี่มล ไม่ใช่ผมเลย มันเป็นเพราะเธอต่างหาก”

มุกรินไปเยี่ยมธาดาที่เรือนจำ เธอบอกเขาว่าอีกไม่ถึงเดือนศาลก็จะอ่านคำพิพากษาแล้ว ธาดาบอกว่าตนไม่กังวลใจอะไรเลย “เพราะพี่รู้เหมือนที่มุกรู้ว่าพี่บริสุทธิ์”

คิมหันต์พูดแทรกขึ้นจากข้างหลังมุกรินว่า เธอกล้าโกหกต่อหน้าศาล ต่อหน้าตน ต่อหน้าวิญญาณของพี่มล คิมหันต์น้ำตาซึมตอกย้ำกับมุกรินอย่างเจ็บแค้นว่า

“อีกเดือนเดียวเท่านั้น เราก็จะรู้ หากวันนี้ความยุติธรรมถูกเบี่ยงเบนไป เธอคือผู้ที่จะต้องรับผิดชอบ!”

ooooooo

เมื่อถึงวันนัดตัดสินคดี ปรากฏว่า ศาลยกฟ้อง!

คืนนั้นเองธาดาก็เข้าบาร์หรูมั่วกับสาวๆถึงสี่คน กินดื่มอย่างสำราญ แล้วโทร.หาทนายบรรเจิดถามว่าไม่มาฉลองกับตนหรือ ทนายบรรเจิดปฏิเสธอ้างว่าตนไม่เหมาะกับสถานที่แบบนั้น ตนต้องรักษาภาพลักษณ์ให้ดี

“เข้าใจครับ...ต้องขอบคุณอีกครั้งนะครับพี่บรรเจิด ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง”

“ผมไม่ต้องการคำขอบคุณ ผมทำหน้าที่ของผม คุณก็ต้องทำหน้าที่ของคุณ อย่าลืมใช้หนี้เสธ.ให้ครบโดยเร็วนะ อ้อ...เสธ.ห่วงเรื่องความปลอดภัยของคุณ ท่านส่งการ์ดสามคนไปดูแลคุณคืนนี้ด้วย ตัวใหญ่ๆ หน้าดุๆ คุณลองชำเลืองดูรอบๆแล้วกัน”

ธาดาบอกว่าเห็นแล้ว ฝากขอบคุณเสธ.ด้วย ทนายบรรเจิดบอกว่าท่านห่วงเงินของท่านไม่ได้ห่วงเขา

ระหว่างที่ธาดากำลังมัวเมากับเหล้าและหญิงสาวนั่นเอง พนักงานเข้ามาแจ้งว่ามีคนมาขอพบ

ธาดาถามอย่างลำพองใจว่าใคร ชื่ออะไร พนักงานบอกว่าไม่ทราบ ธาดาสั่งให้ไปถามชื่อแล้วค่อยมาบอก ถ้าชื่อไม่เพราะไม่ให้พบ แล้วหันไปจี๋จ๋ากับสาวๆต่อ

“ฉันชื่อคิมหันต์ คุรุรัตน์ ชื่อเพราะพอไหม” ธาดาเงยหน้ามองนิ่งถามว่ามาที่นี่ทำไม ทำไมเมื่อวานถึงไม่ไปศาล “เมื่อวานไม่ว่าง แต่วันนี้ฉันมีเวลาพอที่จะมาคิดบัญชีแทนพี่มล”

คิมหันต์พุ่งเข้าหาธาดาทันที พอธาดาล้มคว่ำก็เข้าไปเตะซ้ำ พวกสาวๆวี้ดว้ายแตกกันกระเจิง

พริบตานั้นชายร่างใหญ่หน้าดุสามคนก็เข้ามากระชากคิมหันต์ออกจากธาดา ธาดาลุกขึ้นตวาดถาม

“มึงซ่านักใช่ไหมไอ้คิม...” แล้วคว้าขวดเหล้าฟาดคิมหันต์จนหัวแตกเลือดกระจาย “ซ่าอย่างมึงต้องเจออย่างนี้...” แล้วธาดาก็พยักหน้าให้การ์ดสั่ง

“ไม่ต้องให้ถึงตาย เอาแค่พิการก็พอ”

การ์ดทั้งสามรุมเข้าอัดคิมหันต์ลงไปกองกับพื้น คิมหันต์นอนแน่นิ่งกับกองเลือดของตัวเองอยู่ตรงนั้น...

ooooooo

ขณะมุกรินเดินไปที่ห้องพิจารณาคดีในวันไปศาล วันนั้น เธอนึกในใจไปตามทางว่า...

“ชีวิตมนุษย์ตั้งอยู่บนความเสี่ยงกันทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ไม่มีข้อยกเว้น เสี่ยงมากหรือเสี่ยงน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละเรื่องแต่ละเหตุการณ์ เรื่องที่สำคัญที่สุดย่อมมีความเสี่ยงมากที่สุดเป็นธรรมดา...”

มุกรินนึกถึงงานศพของวิมลรัตน์ คิดต่อไปว่า “หลายคนนึกถึงการเสี่ยงชีวิต...ก็คงไม่ผิด แต่บางเรื่อง แม้ไม่ถึงกับชีวิตแต่ผลได้เสียนั้นเสี่ยงมากที่สุดไม่แพ้กัน เช่นเรื่องที่ฉันกำลังเสี่ยงอยู่ขณะนี้”

มุกรินเดินมาหยุดยืนที่หน้าห้องพิจารณาคดี ตัดสินใจก้าวเข้าไป

ooooooo

ชุมสายไปถึงโรงพยาบาลกลางดึก เข้าไปในห้องฉุกเฉินเห็นคิมหันต์ได้รับการทำแผลเรียบร้อยแล้ว ชุมสายถามประชดว่าสนุกไหม คิมหันต์บอกว่าดีกว่าอยู่เฉยๆ รู้สึกดีถ้าได้ทำอะไรเพื่อพี่มลบ้าง

ระหว่างนั้นสารวัตรเดินเข้ามาบอกคิมหันต์ว่า ท่านรองอาณัติให้มาดูแลเขาอย่างดีที่สุดและฝากถามด้วยว่า ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายได้ไหม คิมหันต์บอกว่าตนไม่กล้ารับปาก สารวัตรพูดหน้านิ่งๆว่า

“งั้นผมก็คงรับปากไม่ได้เหมือนกันว่าคราวต่อไปคุณจะถูกดำเนินคดีรึเปล่า” คิมหันต์บอกว่าให้เต็มที่เลย “สำหรับวันนี้ผมจะลงบันทึกประจำวันเปรียบเทียบปรับข้อหาสร้างความวุ่นวาย ส่วนค่าเสียหายที่ร้านคุณก็ให้ทนายเพื่อนคุณตามเรื่องเอาแล้วกันนะครับ ลุกจากเตียงได้แล้วช่วยตามมาให้ผมสอบปากคำหน่อยนะครับ”

พอสารวัตรไป ชุมสายเปรยๆว่าตนอดเป็นห่วงมุกรินไม่ได้ คิมหันต์บอกอย่างสาแกใจว่า

“ฉันมีทางออกให้เขาอยู่แล้วไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้แกคอยดู!”

ฝ่ายธาดา ได้รับการทำแผลจากมุกรินแล้ว เขาบอกว่าจะหาที่อยู่ใหม่ เพราะคิมหันต์ไม่ยอมให้ตนเข้าบ้านพี่มลแน่

มุกรินบอกให้มาอยู่กับตนจะได้ไม่ต้องสิ้นเปลือง

“แต่ถ้าพี่ยังวนเวียนอยู่ใกล้ๆมุกอย่างนี้ พี่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างมุกกับคิมจะไปไม่รอดนะ”

“ก็แล้วแต่พี่ใหญ่แล้วกันค่ะ” มุกรินตามใจพี่ชายเพราะลึกๆแล้วเธอเห็นด้วยกับเขา คืนนี้เธอจึงโทร.หาคิมหันต์แต่ปลายสายบอกให้ฝากข้อความ เธอตัดสินใจพูด “คิม...มุกพูดนะ...มุกเพิ่งรู้จากพี่ใหญ่ว่ามีเรื่องกันที่บาร์ แต่ไม่รู้ว่าคิมเป็นยังไงบ้าง มุกเป็นห่วงนะคิม...เท่านี้นะ”

คิมหันต์ฟังข้อความแล้ววางโทรศัพท์ลง ชุมสายถามว่ามุกรินฝากข้อความยังไงบ้าง คิมหันต์ตอบอย่างขอไปทีว่าไม่รู้ เสียงซ่าๆ ฟังไม่รู้เรื่อง พอชุมสายบอกให้โทร.กลับ เขาส่ายหน้าบอกว่า “ไม่มีสัญญาณ”

ooooooo

อ่านเรื่องรอยรักแรงแค้น ตอนที่ 3 วันที่ 31 ส.ค. 58

ละครรอยรักแรงแค้น บทประพันธ์โดย ชลาลัย
ละครรอยรักแรงแค้น บทโทรทัศน์โดย ศรัณยู วงษ์กระจ่าง
ละครรอยรักแรงแค้น กำกับการแสดงโดย ศรัณยู วงษ์กระจ่าง
ละครรอยรักแรงแค้น ผลิตโดย บริษัท สามัญการละคร จำกัด
ละครรอยรักแรงแค้น ออกอากาศทุกวันพุธ-พฤหัสบดี เวลา 20.20 น.
ติดตามชม ละครรอยรักแรงแค้น ได้ทางทางช่อง 7 สี
ที่มา ไทยรัฐ