อ่านละคร แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 10/4 วันที่ 9 มี.ค. 56


อ่านละคร แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 10/4 วันที่ 9 มี.ค. 56

ทั้งสองคนก้มหน้าก้มตาเลือกเสื้อผ้า ไม่มองกัน พเยียเอ่ยขึ้นก่อนเบาๆ
“เรียบร้อยไหม”
“เรียบร้อย แล้วแผนต่อไปล่ะ จะลงมือเมื่อไหร่”
“เดี๋ยวก่อน ยังไม่ใช่ตอนนี้”
พเยียเดินเลือกของไปทางอื่น ทำเนียนๆ นพดลก็ตามไปเนียนๆ เช่นกัน
“ไม่ทำตอนนี้แล้วจะทำเมื่อไหร่ ยิ่งนานพี่ยิ่งลำบากนะ พเยีย ไปไหนทำอะไรก็ไม่ได้ ตำรวจแม่งตามพี่จนกระดิกไม่ได้เลย” นพดลบ่นอุบ

“อีกแป๊บนึงได้ไหม พี่ รอให้เรื่องนังชื่นจบไปก่อน เอาไว้เราค่อยนัดกันอีกที” พเยียทำเป็นชนนพดล ถุงในมือหล่น “อุ๊ย ขอโทษค่ะ”
นภดลแกล้ง “ขอโทษครับ”



นพดลทำทีช่วยเก็บ ทั้งสองสลับถุงกันในตอนนั้น
ขณะเดียวกันแตงเดินคอตกอยู่ตรงทางเดินในห้างหน้าเศร้า พยายามจะส่งแมสเสจทางไลน์ ขอโทษชิษณุพงษ์ อย่างน่าสงสาร

จังหวะหนึ่งแตงพูดกับตัวเองเสียงเศร้า “แตงขอโทษนะ คุณณุ แตงปากไม่ดีเอง”
แตงส่งแมสเสจเสร็จ เงยหน้าขึ้นมา ต้องตกใจ เมื่อเห็นนพดลเดินออกจากร้านกีฬา แม้จะเห็นไม่ชัดมากเพราะพรางตัว แต่ก็คุ้นตา
“เฮ้ย นั่นมัน”
แตงชะงัก เมื่อเห็นพเยียเดินออกมาติดๆ กัน
“คุณพเยีย?”
ทั้งสองเดินแยกไปคนละทาง แตงลังเล ไม่รู้จะเอายังไง ตัดสินใจวิ่งสะกดรอยตามนพดลไปห่างๆ

นพดลเดินอย่างระมัดระวัง แล้วเหลือบไปเห็นเงาของแตงในกระจกเงาสะท้อน นพดลเร่งฝีเท้าเมื่อรู้ว่าถูกตาม แตงสะกดรอยกระชั้นชิด พลางโทรหาตำรวจไปด้วย
“ฮัลโหล ฉันจะแจ้งเบาะแสคนร้ายค่ะ ชื่อนายนพดล ฉายสำอาง...ตอนนี้เค้าอยู่ที่ห้าง..ค่ะ”
แตงบอกชื่อห้าง แล้วเงยหน้าขึ้นมา เห็นนพดลไปทางบันไดหนีไฟ แตงตามติด

ครู่ต่อมาแตงเปิดประตูทางไปบันไดหนีไฟ แล้วเดินลงบันไดตามไป ปรากฏว่านพดลหายไปแล้ว
“อ้าว...ไปไหนล่ะ”
แตงหันคว้าง ทันใดนั้น ประตูก็เปิดผางออกมา นพดลผลักโครม แตงร่วงลงไปตามขั้นบันได หมดสติ กองกับพื้น นพดลเดินหนีหายไป

ตรงทางเดินในห้าง มุมหนึ่ง พเยียยืนมองตำรวจใช้เปลสนามหามจนร่างหมดสติของแตงออกไป คนมุงดูซุบซิบกันตามสมควร
พเยียยิ้ม แล้วเดินจากไป ระหว่างทาง พเยียหยิบโทรศัพท์เครื่องใหม่ขึ้นมากดโทรออก
นพดลอยู่ในรถแท็กซี่ หยิบโทรศัพท์จากถุงขึ้นมารับสาย
“ฮัลโหล”
พเยียเดินคุยไปเรื่อยๆ ไม่อยู่กับที่ สลับกับนพดลในรถ
“ฉันเอง ต่อจากนี้ไป พี่ติดต่อฉันที่เบอร์นี้นะ แล้วโทรศัพท์เก่าของพี่ ตอนนี้ห้ามใช้เด็ดขาด ตำรวจเค้าตามอยู่”
“รู้แล้วน่ะ ของเก่าโยนทิ้งไปตั้งนานแล้ว ...แล้วเบอร์ใหม่นี่ของใครเนี่ย”
“จดเป็นชื่อฉันเอง รับรองปลอดภัย พี่ไม่ต้องห่วง แต่อย่าเที่ยวแรดใช้โทร.ไปหาใครต่อใครล่ะ ฉันขี้เกียจมีเรื่อง”
“พูดมาก ห่วงตัวเองเถอะ ของที่ให้ไปน่ะ หายากนะ อย่าทำหายล่ะ”
พเยียปรายตาดูถุงในมือ “ใช้ได้ผลแน่นะ พี่”
“ล้านเปอร์เซ็นต์”
“ไอ้แก่นภัสรพีมันไม่ปล่อยฉันเอาไว้นานหรอก เสร็จงานศพแล้วมันเล่นงานฉันแน่ แต่ฉันจะเล่นมันก่อน ไม่ให้มันทันรู้ตัว”
“ดี พอท่านตาท่านยายตายกันหมด คุณหนูพเยียจะได้เป็นเจ้าของมรดกหมื่น ล้านซะที พี่จะได้พลอยสบายไปด้วย”
พเยียยิ้มพราย มองถุงกระดาษอย่างหมายมั่น สาสมใจ

คืนนั้นนภัสรพีแต่งตัวชุดไว้ทุกข์กลับมาจากงานศพ เข้ามาที่โต๊ะทำงาน ตรวจดูจดหมายและเอกสารสำคัญต่างๆ ที่วางไว้ที่โต๊ะ ศรีเข้ามาพร้อมจดหมายซองนึง
“คุณชายคะ มีจดหมายถึงคุณชายค่ะ”
นภัสรพีรับมาดู เป็นซองจ่าหน้า หม่อมราชวงศ์นภัสรพี ศิวาวงศ์ เท่านั้น ไม่มีที่อยู่ ไม่ติดแสตมป์
“ของใคร มาได้ยังไง”
“ทองมาบอกว่าตอนกลับมาจากวัด ก็เห็นจดหมายนี่เสียบไว้ที่ตู้จดหมายค่ะ”
“ไหนดูซิ ของใครกัน”
นภัสรพีจะเปิดซอง แล้วหามีดเปิดซองไม่เจอจึงบ่น
“นี่มีดเปิดจดหมายของฉันไปไหน ทุกทีก็วางอยู่ตรงนี้”
ศรีบอก “ไม่ทราบค่ะ”
“ไม่มีชื่นซะคน บ้านก็วุ่นวายไปหมด” นภัสรพีหงุดหงิด “ปกติฉันวางไว้ตรงนี้ เพราะต้องใช้ประจำ แล้วนี่ใครเอาไปไว้ไหน” ศรีทำหน้าเหลอหลา นภัสรพีโบกมือไล่ “เอาเถอะๆ ไม่รู้ก็ไม่รู้ จะไปไหนก็ไป ไป”
ศรีหน้าจ๋อยๆ ออกไป นภัสรพีใช้กรรไกรตัดซอง ข้างในเป็นจดหมายที่เขียนด้วยหมึกดำบนกระดาษขาวเรียบๆ ธรรมดา นภัสรพีเปิดออกอ่าน
“กราบเท้า คุณชาย ที่เคารพ...”
นภัสรพีกวาดตามองอย่างรวดเร็ว แล้วผงะ ตกใจ คาดไม่ถึง
“ชื่น... จดหมายจากชื่นหรือนี่”
นภัสรพีรีบอ่านอย่างรวดเร็ว

กอหญ้าอยู่ในชุดนอน มีเสื้อคลุมเรียบร้อย ประคองถาดใส่ชุดน้ำชาเดินมาที่ระเบียง
นภสัรพีนั่งใช้ความคิดอยู่ได้ยินเสียง หันไปมอง
“หนูเองหรือ กอหญ้า มีอะไรหรือเปล่า”
กอหญ้าเอาชาเข้ามาเสิร์ฟ
“หนูเห็นท่านชอบดื่มชาร้อนก่อนนอน หนูเลยชงมาให้ค่ะ”
นภัสรพีเศร้าไป “ปกติมันเป็นหน้าที่ของชื่นเขา เขาภูมิใจนักหนา ถ้าเขายังอยู่รับรองไม่ยอมให้ใครทำแทน”
กอหญ้าถามขึ้น “ตำรวจได้ข่าวแม่ชื่นบ้างหรือยังคะ”
“ยัง แต่วันนี้ฉันเพิ่งได้รับจดหมาย ลงชื่อว่าเป็นจดหมายของชื่น”
กอหญ้ามีท่าทีตื่นเต้น “เขียนมาว่ายังไงบ้างคะ”
“เขาเขียนมาลา บอกว่ามีความจำเป็นต้องไปอยู่กับญาติที่ต่างจังหวัด ขอโทษที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า”
กอหญ้าแปลกใจ “เท่านั้นหรือคะ แม่ชื่นไม่ได้พูดหรือฝากฝังอะไรถึงใครเป็นพิเศษเลยหรือคะ”
นภัสรพีบอก “ไม่มี”
“แปลกจังค่ะ”
“ใช่ เพราะก่อนที่ชื่นเค้าจะหายไป เขามีเรื่องสำคัญ จะบอกฉัน ฉันถึงไม่เชื่อว่าชื่นจะไปทำธุระที่ต่างจังหวัดจริงๆ อย่างที่จดหมายว่า”
นภัสรพีถอนใจหนักหน่วง กอหญ้ายิ้มปลอบ รินชาใส่ถ้วยส่งให้
“ดื่มชาก่อนเถอะค่ะ ท่าน สมองโล่งแล้วอาจจะคิดอะไรออกมากขึ้น ความลับไม่มีในโลก ทุกคำถามต้องมีคำตอบ ช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง”
นภัสรพีรับชามาจิบมองกอหญ้าอย่างเอ็นดู

ห่างออกไปในความมืด พเยียแอบดูกอหญ้ากับนภัสรพี ตาจับจ้องไปที่กาน้ำชา ผุดยิ้มร้ายออกมาในแววตาเหี้ยมโหด
คืนนั้นตรงบริเวณหน้าบ้าน สาวใช้บ้านชิษณุพงษ์เดินวนเวียน ชะเง้อชะแง้ เหมือนกำลังรอใคร ส่วนในห้องรับแขก เจ้าแสงโชติกับเจ้ามลุลีนั่งอยู่ทั้งสองคน หน้าตาเป็นห่วง

“ลองโทร.หาแตงดูอีกทีซิ คุณ”
“โทร.ไปหลายทีแล้วค่ะ เจ้าพี่ ยังปิดเครื่องอยู่เลย”
“นี่มันห้าทุ่มแล้ว ไปไหนของเค้านะ”
เจ้ามลุลีหันไปถามชิษณุพงษ์ที่นั่งเงียบอยู่
“ตอนที่แยกกัน แตงเค้าไม่ได้บอกลูกเหรอ ว่าเค้าจะไปไหน”
ชิษณุพงษ์รู้สึกผิด “เปล่าครับ”
เจ้ามลุลีตำหนิผู้เป็นลูกชาย “ลูกก็น่าจะถาม รู้ก็รู้อยู่ ว่าแตงไม่ค่อยได้ลงมากรุงเทพฯ หลงทางกลับบ้านไม่ถูกรึเปล่าก็ไม่รู้”
ชิษณุพงษ์นิ่งยอมรับผิด เจ้ามลุลียังต่อว่าชิษณุพงษ์
“ลูกเป็นคนชวนแตงออกไปแท้ๆ ถ้าไม่กลับด้วยกัน ก็น่าจะถามเค้าซักคำว่าเค้าจะไปไหน”
ชิษณุพงษ์ทนเงียบไม่ไหว สารภาพออกมา “แตงไม่ได้จะไปไหนหรอกครับ แม่ ผมไล่แตงลงจากรถไปเอง”
“อะไรนะ”เจ้าแสงโชติงง “ลูกไล่แตงลงจากรถ”
“เราทะเลาะกันน่ะครับ แตงทำให้ผมโมโห ผมเลย...” ชิษณุพงษ์ไหว้ของโทษทุกคน “ผมขอโทษจริงๆ ครับ คุณพ่อคุณแม่ ผมลืมตัวไป ผมไม่คิดว่าแตงจะ หลงทาง”
หน้าตาชิษณุพงษ์รู้สึกผิดมาก เจ้าแสงโชติเปรยขึ้นมาอย่างกังวล
“แตงไม่ใช่เด็กโง่ พ่อไม่เชื่อว่าเค้าจะหลงทางกลับบ้านไม่ถูก ลองปิดมือถือเงียบหายไปแบบนี้ มันคงไม่ใช่แค่หลงทางหรอก”
ระหว่างนั้นยินเสียงรถแล่นเข้ามาในบ้าน สาวใช้คนหนึ่งวิ่งมาบอก
“เจ้าคะ แตงกลับมาแล้วค่ะ”
ชิษณุพงษ์ลุกขึ้นก่อนใคร วิ่งพรวดพราดไปหน้าบ้านด้วยความดีใจ ลุงเติมและคนอื่นๆ ตามไป

ที่หน้าบ้าน แตงหน้าซีด มีผ้าพันแผลที่หัวกำลังลงจากรถตำรวจ
ชิษณุพงษ์ชะงัก แปลกใจ “แตง”
แตงหันไปไหว้ลาตำรวจ “ขอบคุณมากนะคะ ที่มาส่งหนู”
“ขอบใจหนูด้วย ที่มีแก่ใจช่วยเหลือทางราชการ” ตำรวจบอกลาทุกคน “ผมไปก่อนนะครับ ลาละครับ”
ตำรวจคนนั้นขึ้นรถ แล้วรถขับแล่นออกไป เจ้ามลุลีปราดเข้าไปหา
“แตง ไปไหนมา ทุกคนห่วงแตงมากรู้ไหม” เจ้าจับเนื้อจับตัว ถามรัวเร็ว “แล้วที่หัวนี่เป็นอะไร แล้วไปยังไงมายังไง กลับบ้านมาป่านนี้ แล้วทำไมมีตำรวจมาด้วย”
แตงยิ้มจ๋อยๆ “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ เจ้า แตงแค่ตกบันไดเท่านั้นเอง”
ชิษณุพงษ์ เจ้าแสงโชติ เจ้ามลุลี มองแตงอย่างสงสัย

ทุกคนอยู่ที่ห้องรับแขก แตงเล่าให้ฟังว่าเจอนพดล และโดนทำร้ายจนสลบไป
“แตงฟื้นมาก็มัวแต่งง ลืมโทรมาบอกที่บ้าน” แตงยกมือไหว้ทุกคน “ต้องขอโทษด้วยนะจ๊ะ ที่ทำให้เป็นห่วง”
เจ้าแสงโชติพูดอย่างมีเมตตา “ไม่เป็นอะไร กลับมาบ้านได้ก็ดีแล้ว ไม่ต้องขอโทษขอโพยอะไรหรอก”
แตงมองชิษณุพงษ์ที่นิ่งอยู่ พูดเสียงอ่อย เป็นเชิงพ้อ
“แตงเซ่อซ่าให้มันรู้ตัวก่อน เลยเจ็บตัวฟรี แถมไอ้คนร้ายยังหนีไปได้”
ชิษณุพงษ์สงสาร “ไม่เป็นไรหรอก แตง วันหน้ายังมี ลองมันยังวนเวียนอยู่แบบนี้ เราต้องจับมันจนได้ซักวัน”
เจ้ามลุลีลุกขึ้นพูดอย่างเหลืออด
“วันหน้าวันหลังอะไรอีก! ไม่เอาแล้ว! วันนี้มันแค่ผลักแตงตกบันได แต่ถ้าคราวหน้า มันยิง มันฆ่าเอาแล้วลูกจะว่ายังไง” พลางหันไปบอกแสงโชติ “น้องไม่ยอมแล้วนะคะ เจ้าพี่ ทั้งแตง ทั้งชิษณุพงษ์จะต้องเลิกยุ่งกับเรื่องนี้”
ชิษณุพงษ์ใจแป้ว รีบท้วง “ไม่นะครับ”
เจ้าแสงโชติเห็นงามด้วย “พ่อเห็นด้วยกับแม่เค้า มันอันตรายเกินไปแล้ว พ่อขอสั่งห้ามไม่ให้ลูกไปวุ่นวายกับเค้าอีก”
ชิษณุพงษ์รีบบอก “แต่ว่ากอหญ้า...”
เจ้ามลุลีขัดขึ้นทันควัน “กอหญ้าเค้าไม่ได้เป็นอะไรกับเรา แต่ลูกเป็นลูกของแม่ แตงก็เป็นหลานของลุงเติม เป็นคนที่แม่กับเจ้าพ่อต้องดูแลคุ้มครองให้ปลอดภัย”
ชิษณุพงษ์หน้าบูดบึ้ง
เจ้าแสงโชติดูออก “เชื่อแม่เค้าเถอะลูก เหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือน เราก็จะไปอเมริกากันแล้ว ลูกอยู่เฉยๆ เตรียมตัวให้พร้อมดีกว่า”
“อย่าไปยุ่งกับเค้าเลยนะ ลูก แม่ขอ…ถ้าลูกยังเห็นว่าแม่เป็นแม่” เจ้ามลุลียื่นคำขาด
ชิษณุพงษ์เห็นเจ้ามลุลีเอาจริง ตัดสินใจ ลุกขึ้นยืนพูดอย่างแน่วแน่
“ตกลงครับ เดือนหน้า ผมจะกลับไปเรียนต่อ” ทุกคนโล่ง คลายกังวลใจ “แต่คุณพ่อคุณแม่ครับ ระหว่างที่ผมยังอยู่ที่นี่ ผมรับปากกอหญ้าเอาไว้แล้วว่า ผมจะช่วยเค้าให้ถึงที่สุด ผมก็จะทำตามนั้น”
เจ้าแสงโชติจะพูด ชิษณุพงษ์ตัดบท
“ผมรับปาก จะไม่ให้แตงต้องเจ็บตัวอีกแล้ว” บอกกับเจ้ามลุลี “ผมจะช่วยเพื่อนผมด้วยตัวผมเอง” แล้วหันมาทางแตง “ส่วนเธอ จากนี้ไป ไม่ว่าฉันจะทำอะไร เธอไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”
ชิษณุพงษ์พูดเสร็จก็เดินฉับๆ ออกไป แตงหน้าจ๋อย ทำตาปริบๆ เจ้ามลุลีกับเจ้าแสงโชติกลุ้มใจในความดื้อของลูกชาย

ในยามเช้าวันต่อมา กอหญ้าเดินผ่านห้องสมุดเห็นประตูเปิดอยู่ มองเข้าไปเห็นศรีก้มๆ เงยๆ หาอะไรอยู่ หน้ายุ่ง กอหญ้าเดินเข้าไปหาศรี
“หาอะไรเหรอคะ”
“ศรีหามีดเปิดจดหมายของคุณชายน่ะค่ะ ปกติก็อยู่บนโต๊ะทำงานนี่ อยู่ดีๆ หายไปไหนก็ไม่รู้”
“คงจะตกอยู่ในห้องนี่แหละค่ะ เดี๋ยวฉันช่วยหานะคะ”
กอหญ้าเปิดไฟสว่างทุกด้วง แล้วนั่งลง ก้มๆ เงยๆ ช่วยศรีหามีดเปิดจดหมาย กอหญ้า เห็นอะไรแว้บๆ สะท้อนแสงอยู่ที่ซอกระหว่างโซฟาสุดมุมห้องกับโต๊ะข้าง รีบพุ่งเข้าไป
กอหญ้า ออกอาการดีใจ “โน่นไงคะ เจอแล้ว”
กอหญ้าปราดเข้าไป หยิบออกมาชูให้ศรีดู
“อันนี้ใช่ไหมคะ”
ศรีดีใจ “ใช่ค่ะ ขอบคุณนะคะ คุณกอหญ้า ถ้าศรีหาไม่เจอล่ะก็ คุณชายบ่นแย่เลย”
ศรีเดินเอาไปวางบนโต๊ะทำงาน บ่นไปด้วยอย่างแปลกใจ
“ความจริงไม่น่ากระเด็นไปไกลถึงโน่น ใครต้องมาวุ่นวายในห้องแน่ๆ”
กอหญ้ายิ้ม ขยับจะลุกขึ้น แต่แล้วต้องชะงัก เมื่อสายตาไปสะดุดกับรอบคราบเลือดสีแดงเข้มดวงเล็กๆ ที่ผ้าปูโต๊ะข้าง
“เอ๊ะ”
“อะไรคะ”
กอหญ้าไม่อยากให้เรื่องอื้อฉาววุ่นวาย รีบกลบเกลื่อน
“ไม่มีอะไรค่ะ”
“งั้นศรีไปก่อนนะคะ”
จนศรีออกจากห้องลับตัวไป กอหญ้ารีบวิ่งไปปิดห้อง ล็อกประตู แล้วเข้ามาดึงชายผ้าปูโต๊ะออกมาดูอย่างละเอียด
“รอยอะไร เหมือนรอยเลือด”
กอหญ้ามองไปรอบๆ ตัวหาร่องรอยความผิดปกติ เห็นรอยถลอกที่ขาเก้าอี้ ที่โดนขาตั้งโคมไฟตอนพเยียทำร้ายแม่ชื่น กอหญ้ามองเรื่อยไป จนไปหยุดอยู่ที่ขาตั้งโคมไฟที่มีรอยบิ่น
กอหญ้ามองต่อไปเห็นรอยเลือดหยดเล็กๆ อีกหยดที่พรม กอหญ้าก้มลงมองให้ชัดๆ แล้วตัดสินใจดึงผ้าปูโต๊ะออกมา พับม้วนๆ ซ่อนในเสื้อ แล้วรีบเดินออกไปจากห้อง
กอหญ้าเดินออกมา แล้วหยิบมือถือมากดโทรหาอิศร

“ฮัลโหล คุณอิศรเหรอคะ ฉันมีเรื่องจะปรึกษาหน่อยค่ะ”
ไม่นานหลังจากนั้น สามคนอยู่ที่ร้านกาแฟเล็ก ในโรงพยาบาล อิศรนั่งอยู่ข้าง กอหญ้า และวางผ้าลงตรงหน้าหมอวิชาญ

“รอยเลือดใช่ไหม ไอ้หมอ”
หมอวิชาญหยิบผ้าปูโต๊ะมาพิจารณารอยเปื้อนอย่างตั้งใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองอิศรกับกอหญ้า
“ใช่ รอยเลือดแน่ๆ”
อิศรถามอย่างใจร้อน “เลือดอะไร”
หมอวิชาญขำเพื่อนจอมเกรียน “เลือดบรรพบุรุษแกล่ะมั้ง ไอ้นี่ ถามมาได้ ให้ดูแค่นี้ ฉันจะไปรู้ได้ยังไง ว่ามันเป็นเลือดหมาเลือดแมวที่ไหน”
“แล้วเรามีทางจะรู้ได้ไหมคะ ว่าเป็นเลือดคนหรือเปล่า”
หมอวิชาญตอบอย่างสุภาพ “ต้องส่งไปให้ห้องแล็บตรวจครับ ผมจัดการให้ก็ได้ แป๊บเดียวรู้เรื่อง”
อิศรหมั่นไส้ “ทีกับผู้หญิงล่ะพูดเพราะ”
หมอวิชาญสวนกลับ “ดีมาก็ดีไปโว้ย” แล้วหันมาทางกอหญ้า “แต่ถ้าจะให้เอาไปตรวจ ก็บอกอะไรไม่ได้มากนักนะครับ เพราะไม่ใช่เลือดใหม่ๆ”
กอหญ้า นึกได้ “คุณหมอพอจะประมาณได้ไหมคะ ว่ารอยเลือดบนผ้านี่เก่าซักแค่ไหน”
หมอวิชาญมองผ้าอีกที เงยหน้าขึ้นบอก
“รอยเลือดเก่า แต่ไม่ได้เก่ามาก น่าจะซัก 2 วันมาแล้วครับ”
อิศรกับกอหญ้ามองหน้ากัน กอหญ้ายิ่งสังหรณ์ใจ
“สองวัน” กอหญ้ามองหน้าอิศร “เท่ากับที่แม่ชื่นหายไป”
อิศรตัดสินใจ “หมอ แกส่งไปตรวจเลย ขอรู้ผลด่วนที่สุดนะ ฉันอยากรู้ทุกอย่างเท่าที่แกจะบอกได้ เกี่ยวกับรอยเลือดนี่”

อ่านละคร แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 10/4 วันที่ 9 มี.ค. 56

ละครเรื่อง แผนรักแผนร้าย บทประพันธ์ : ไอริณ
ละครเรื่อง แผนรักแผนร้าย บทโทรทัศน์ : ทีมเอ็กแซ็กท์
ละครเรื่อง แผนรักแผนร้าย กำกับการแสดง : สันต์ ศรีแก้วหล่อ, วรวิทย์ ขัตติยโยธิน
ละครเรื่อง แผนรักแผนร้าย แนวละคร : เมโลดราม่า - โรแมนติก
ละครเรื่อง แผนรักแผนร้าย ออกอากาศทุกคืนวันพุธ-พฤหัส 20.10 - 21.40 น. ทาง ททบ. 5
ละครเรื่อง แผนรักแผนร้าย เริ่มออกอากาศตอนแรกวันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
ที่มา manager