อ่านละคร แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 14/2 วันที่ 20 มี.ค. 56


อ่านละคร แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 14/2 วันที่ 20 มี.ค. 56

“ฉันไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น” พลางพูดออดอ้อนอรรถ “คุณอย่าเชื่อนะคะ ลูกชายคุณใส่ความฉัน”
“ผมมีหลักฐาน ว่าเมียของพ่อ เป็นพวกเดียวกับคนร้าย” อิศรบอก
“เหลวไหล! คนอย่างสกุณาจะไปเกี่ยวข้อง รู้จักมักจี่กับไอ้กุ๊ยพรรค์นั้นได้ยังไง” อรรถเถียงอย่างมั่นใจ
อิศรยิ้มเยาะ “ได้สิครับพ่อ เมียพ่อกับไอ้นพดลรู้จักกัน ชนิดที่เรียกว่าสนิทแนบแน่นเลยทีเดียวละ”
อิศรหยิบแผ่นซีดีมาชูให้ดู อรรถงง สกุณาหน้าเสีย
“อะไรของแก”

อิศรเดินไปที่เครื่องเล่นซีดี เอาแผ่นใส่ แล้วหันมาบอก
“ตำรวจเค้าเจอแผ่นซีดีในบ้านเช่าของไอ้นพดล มันแอบถ่ายผู้หญิงที่ไปหามันที่คอนโดเอาไว้” สกุณาหน้าเสียมากขึ้น “พ่ออยากรู้ไหมครับ ว่ามีใครไปนอนกับไอ้นพดลบ้าง”


อิศรจะกดรีโมท สกุณาร้องกรี๊ดวิ่งไปแย่ง แต่ไม่ทันแล้ว เมื่อที่หน้าจอเห็นใบหน้าสกุณากำลังคลอเคลียกับนพดลชัดแจ๋ว สกุณาวิ่งไปบังจอทีวี
“ไม่จริง นี่มันภาพตัดต่อ คุณอย่าไปเชื่อนะคะ ไม่จริง”
อรรถเดินเข้าไป ตบหน้าสกุณาจนคว่ำ เซไปซบกับโซฟา
“นังแพศยา” อรรถตวาดลั่น “ออกไป ไสหัวไปจากบ้านฉัน”
สกุณาเงยหน้าขึ้นมา นัยน์ตาวาววับด้วยความโกรธแค้น
“ที่ฉันต้องเป็นผู้หญิงแพศยาเพราะอะไร เพราะคุณมันไม่มีน้ำยาไงได้ยินไหม คุณมันไม่มีน้ำยา”
อรรถโกรธจนตัวสั่นตวาดเสียงดัง “ออกไป”
สกุณากระแทกเท้าออกไปด้วยความโมโห อรรถทรุดตัวลงกับพื้น เสียใจมาก

อิศรมองพ่อด้วยความสงสารและเห็นใจ ใช้รีโมทปิดทีวี แล้วเดินไปประคองพ่อขึ้นมา ตบไหล่ปลอบใจ โดยไม่พูดซ้ำเติมอะไรสักคำ
ด้านแตงนั่งนิ่งๆ ทอดอารมณ์อยู่ภายในสวนสวยของโรงพยาบาลแห่งนั้น สีหน้ายังมีความเศร้าเจืออยู่นิดๆ สักครู่หนึ่ง พยาบาลเข็นรถเข็นพาชิษณุพงษ์เข้ามาหา

“มาหลบอยู่นี่เอง” ชิษณุพงษ์ทัก
แตงหันมา ตกใจ
“คุณณุ”
ชิษณุพงษ์หันไปบอกพยาบาล “ส่งผมแค่นี้ก็พอครับ คุณพยาบาล ผมหาผู้ช่วยของผมเจอแล้ว”
พยาบาลยิ้มแล้วออกไป ชิษณุพงษ์หันไปแกล้งต่อว่าแตงยิ้มๆ
“ลุงเติมส่งเธอมาดูแลฉัน ทำไมทิ้งฉันไว้คนเดียว”
“แตงเห็นคุณณุมีคุณกอหญ้าดูแลอยู่แล้วนี่จ๊ะ” แตงพูดอย่างเจียมตัว ไม่ได้ประชดหรือแง่งอนใส่ “แตงเลยไม่รู้จะอยู่ทำอะไร”
ชิษณุพงษ์หน้าเศร้าลงนิดหนึ่ง แต่พยายามสลัดทิ้ง พูดอย่างปกติ
“เค้าไปตั้งนานแล้ว กอหญ้าเค้ามีแฟนแล้ว ฉันเป็นแค่เพื่อน ต่อให้รักกันยังไง ใครจะมาคอยดูแลเพื่อนอยู่ทั้งวัน”
แตงฟังแล้วตกใจ “คุณณุหมายความว่า คุณกอหญ้าเค้าไม่”
ชิษณุพงษ์พยักหน้า แตงหน้าเสีย สงสารชิษณุพงษ์จับใจ
“ทำไมล่ะจ๊ะ คุณณุออกจะดี แล้วก็รักคุณกอหญ้า ทำเพื่อคุณกอหญ้าทุกอย่าง”
ชิษณุพงษ์พูดเหมือนปลงตกแล้ว “เรื่องของความรัก บางทีมันก็ไม่มีเหตุผลหรอกแตง .. บางทีเราก็ไม่ได้รักคนที่ดีกับเรา แต่รักคนที่เรารัก รักอย่างไม่มีเงื่อนไข”
“คุณกอหญ้าเค้าเจอคนนั้นแล้วเหรอจ๊ะ”
“เจอแล้วมั้ง” ชิษณุพงษ์บอก
แตงยิ้มแฉ่ง ทำเสียงสดใสปลอบใจ “งั้นซักวันคุณณุก็ต้องเจอบ้าง เจอคนที่รักคุณณุเพราะรัก รักอย่างไม่มีเงื่อนไข”
ชิษณุพงษ์มองแตงอย่างขำๆ ลืมเศร้าไปชั่วขณะ หันมาต่อปากต่อคำกับแตงแทน
“แล้วถ้าฉันไม่เจอล่ะ”
“แตงจะช่วยหาจนเจอ เชื่อแตงซี มันต้องมีซักคน”
“ก็แล้วถ้ามันไม่มีล่ะ”
“มีซี...เอางี้ ถ้าไม่มีใครจริงๆ แตงจะอยู่ดูแลคุณณุเอง ดีไหม”
ชิษณุพงษ์หัวเราะขำ “ฉันอยู่คนเดียวไปจนตายดีกว่า”
แตงหน้าง้ำ “คุณณุอ่ะ”
ชิษณุพงษ์จับหัวแตงเขย่าๆ “ฉันล้อเล่นน่ะ”
ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างสดใส ชิษณุพงษ์ซาบซึ้งในความหวังดีที่แตงมีกับตน

วันต่อมา พเยียในสภาพเหงื่อไหลไคลย้อย กึ่งยกกึ่งลากเข่งผลไม้อย่างทุลักทุเล เดินมาตามร่องดินในสวน จนพอเดินพ้นสวนมาถึงตัวบ้านก็กระแทกเข่งโครมลงบนพื้นอย่างหมดแรงและเหนื่อยอ่อน ยายที่เดินแบกเข่งผลไม้อีกเข่งเดินตามเข้ามา ร้องเตือน
“เอ้า อีหนู วางให้มันเบาๆ หน่อย เดี๋ยวมะม่วงก็ช้ำหมดหรอก”
พเยียหน้าตาเหนื่อยและเซ็ง ปาดเหงื่อ นั่งพักเหนื่อย ยายร้องทักมาอีก
“ยัง ยังไม่หมด หนู ยังเหลืออีกแค่สองสามเข่ง ไปช่วยกันยกก่อน จะได้รีบเอาไปส่งเค้า”
พเยียมองหน้ายาย ไม่เต็มใจนัก แต่รู้ว่าไม่มีทางเลือก จำใจลุกขึ้นเดินกลับไป ยายกำลังจะตามเข้าไป พอดีลุงถือหนังสือพิมพ์วิ่งเข้ามา ท่าทางรีบร้อน
ตาพูดเสียงดัง ออกอาการตื่นเต้น “ยาย... เรื่องใหญ่แล้ว เรื่องใหญ่”
ยายชะงัก พเยียพลอยหันไปด้วย
“เรื่องอะไรตา” ยายถาม
ตาเห็นพเยียมองมา ชะงัก ลงหนังสือพิมพ์ลงมองพเยียด้วยสายตาระแวงระวัง ทำท่าไม่อยากให้พเยียรู้
“ไปพูดกันในบ้านดีกว่า ยาย”
ตาดึงยายเข้าไปในบ้าน พเยียมองตามอย่างสงสัย เห็นตาลากแขนยายเข้าไปในบ้าน ปิดประตู พเยียมองตาม ท่าทีหวาดระแวง
“หนังสือพิมพ์มีข่าวอะไร ทำไมต้องปิดเราด้วย”

ด้านพเยียค่อยๆ ย่องเข้าไปที่ข้างบ้าน แอบดูทางหน้าต่าง เห็นด้านหลังของตากับยายกำลังก้มอ่านหนังสือพิมพ์ พเยียไม่เห็นหน้าตากะยาย ได้ยินแต่เสียงแล้วเดาเรื่องเอา
ยายเงยหน้าขึ้นร้องเสียงดัง “ว้าย ฉันไม่อยากจะเชื่อ”
ตาจุ๊ปากให้ยายลดเสียง มองซ้ายมองขวา
“เบาๆ สิ ยาย เดี๋ยวนังหนูนั่นมันก็ได้ยินหรอก”
พเยียแอบดูอยู่นอกบ้านได้ยิน ถึงกับผงะ หน้าเสีย เสียงตาคุยกับยายยังดังแว่วมา
“ตอนนี้เราต้องเงียบๆ ไว้ก่อน ยาย ใครรู้เข้ามันอันตราย นี่ฉันว่าจะไปบอกตำรวจด้วยซ้ำ”
พเยียได้ยิน ตกใจ
“บอกตำรวจ!” พเยียเดา “ต้องมีประกาศจับเราในหนังสือพิมพ์แน่ๆ”
พเยียคิด แล้วตัดสินใจวิ่งเตลิดออกไป
ไม่ทันได้ยินว่าที่ในบ้าน เห็นตาถือล็อตเตอรี่อยู่ในมือ เทียบกับผลสลากกินแบ่งรัฐบาลในหนังสือพิมพ์ เห็นว่าเลขในล็อตเตอรี่เหมือนกับเลขรางวัลที่ 1 ในหนังสือพิมพ์
ยายบอกเสียงเบาๆ “ก็ดีเหมือนกัน ตา ถูกรางวัลที่หนึ่งได้เงินเป็นล้าน ขืนใครรู้เค้า โดนปล้นกันพอดี”
ตากับยายเปิดประตูออกมาจากบ้าน ยายถาม
“แล้วเราจะบอกนังหนูนั่นว่ายังไง” ยายพูดๆ อยู่ชะงัก “อ้าว”
“มันไปไหนของมันน่ะ วิ่งแนบเลย”
ยายกับตา เห็นพเยียสะพายกระเป๋าที่ติดตัวมาแต่แรก วิ่งแจ้นไปไกลลับตาแล้ว ตากับยายได้แต่ยืนงง

พเยียสวมหมวก หรุบลงปิดหน้า แถมสวมแว่นตาดำ เดินเข้ามาซื้อน้ำในตลาดละแวกสวน สายตาเหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์หลายฉบับ วางอยู่บนโต๊ะหลายๆ โต๊ะ พเยียรวบมาทั้งหมด ด้วยความกลัวจะมีคนอ่านแล้วเห็นหน้าตัวเอง
จังหวะนั้นชายวัยรุ่น ท่าทางนักเลงสองคนที่นั่งอยู่อีกโต๊ะ มองพเยียอย่างหมั่นไส้ สองคนมีรอยสักเต็ม เจาะหู ดูแว้นๆ แต่หล่อๆ ล่ำๆ หน้าตาเจริญหูเจริญตา ไม่ดูขี้ยา
พเยียไม่สนใจใคร เปิดๆ หนังสือพิมพ์ดู หาข่าวตัวเอง
“ไหน มันลงรูปเราอยู่ตรงไหนวะ”
แต่แล้วพเยียก็ต้องชะงักเมื่อเห็นข่าวหนึ่งอยู่ในกรอบสวยงาม ในหน้าข่าวสังคมไฮโซ พเยียเห็นกำหนดการวันพระราชทานเพลิงศพของนภัสรพีและนภาจรี สิ่งที่สะดุดตาคือชื่อกอหญ้าที่ขึ้นเป็นเจ้าภาพคู่กับนภดารา พเยียตาเป็นประกายด้วยความโกรธแค้น
“นังกอหญ้า...ป่านนี้คงเสวยสุขเต็มที่เลยสิแก”

พเยียขยำหนังสือพิมพ์ที่อยู่ในมือโดยไม่รู้ตัว เจ็บแค้นในใจ
ส่วนที่วังศิวาลัยเวลานั้น นภดาราแต่งตัวสวยงาม แต่ยังอยู่ในเสื้อผ้าสีอ่อนๆ ไว้ทุกข์ให้บิดาและอาหญิง นภดารากำลังนั่งมองล็อกเก็ตประจำตระกูลที่อยู่ในมือ ระหว่างนั้นกอหญ้าเข้ามาในห้อง

“คุณแม่ให้คนไปตามหนู มีเรื่องอะไรเหรอคะ”
นภดาราเยื้อนยิ้ม เรียกกอหญ้ามาหา “มานั่งนี่สิลูก”
นภดาราพากอหญ้าไปนั่งที่เตียง ยื่นล็อกเก็ตในมือให้ดู
“จำได้ไหม”
“ล็อกเก็ตที่ติดตัวหนูมาตั้งแต่เกิด”
“ล็อกเก็ตอันนี้มีตราประจำตระกูลศิวาวงศ์ ถือเป็นสิ่งสิริมงคลอย่างนึงของตระกูลเรา แม่ถึงได้เอาสวมไว้ให้ที่คอหนูตั้งแต่แรกเกิด”
“ตั้งแต่จำความได้ หนูไม่เคยถอดสร้อยเส้นนี้เลยค่ะ เพราะมันเป็นสิ่ง เดียวที่แทนความรักของพ่อแม่ที่จากไป”
“ตอนนี้ เราสองคนได้กลับมาเจอกันแล้ว แต่แม่ก็ยังอยากให้หนูใส่ติดตัวเอาไว้”
นภดาราสวมสร้อยให้กอหญ้า พลางบอก
“แทนความรักของแม่ รับขวัญลูกสาวของแม่กลับมาสู่ศิวาลัยนะลูกนะ”
นภดาราสวมล็อกเก็ตให้ กอหญ้ากราบที่อกผู้เป็นมารดา สองคนกอดกันอย่างมีความสุข

กอหญ้าประคองนภดาราเดินลงเข้ามาในห้องโถง ศรีและคนรับใช้ทั้งหมดรออยู่ มองอย่างสนใจรอคำอธิบาย นภดารานั่งที่โซฟา กอหญ้านั่งข้างๆ
“ที่ผ่านมา มีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นมากมายในบ้านของเรา ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่มีคนสวมรอยเข้ามาเป็นลูกสาวของฉัน และคนคนนั้นเองทีเป็นตัวการ เป็นต้นเหตุ ที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้น”
ศรีอึ้ง “นี่คุณดาราหมายความว่า...คุณพเยีย”
นภดาราอธิบาย “ใช่จ้ะ พเยียสวมรอยเข้ามาแสดงตัวเป็นทายาทของศิวาวงศ์ แต่ถูกคุณหญิงนภาจรีกับแม่ชื่นสงสัย พเยียจึงได้วางแผนกำจัดทุกคน” เล่าถึงตรงนี้นภดาราสะเทือนใจจนเสียงเศร้า เล่าขัดๆ นิดหน่อย “รวมทั้งคุณพ่อของฉันด้วย”
กอหญ้าบีบมือปลอบใจ เสียงคนรับใช้ซุบซิบกัน บางคนตกใจรังเกียจพเยีย บางคนโกรธแค้น
กอหญ้ารีบตัดบท “เอาล่ะจ้ะ อย่าวิพากษ์วิจารณ์กันไปเลย เรื่องพเยียมันก็จบไปแล้วตอนนี้ทุกคนรู้ความจริงหมดแล้ว ตำรวจก็กำลังตามจับตัวเค้ามาลงโทษอยู่”
นภดาราตั้งสติได้ ยิ้มออกมาอีกครั้ง “ใช่จ้ะ อย่าไปพูดถึงเรื่องร้ายๆ เลย วันนี้ ที่ฉันเรียกทุกคนมาเพราะอยากจะให้ฟังข่าวดี”
คนใช้ทุกคนรอฟัง นภดาราหันไปยิ้มให้กอหญ้า
“ฉันสูญเสียคนที่ฉันรักไปหลายคน แต่ฟ้ายังเมตตาให้ฉันได้พบลูกสาวตัวจริงของฉัน...ทุกคนจ๊ะ นี่คือ กอหญ้า ศิวาวงศ์ ลูกสาวของฉันจ้ะ”
ศรีดีใจมาก “จริงเหรอคะ คุณกอหญ้า”
“จริงค่ะ” กอหญ้าเอามือจับสร้อยอย่างภูมิใจ “ฉันเป็นลูกสาวของคุณแม่จริงๆ”
กอหญ้ายิ้มให้ ทุกคนตื้นตันดีใจไปกับนภดาราและกอหญ้า

เวลาผ่านไป พเยียนั่งซึมเศร้าอยู่ร้านกาแฟที่เดิม ยังไม่รู้จะไปไหนดี นักเลงสองคนยังคงนั่งมองพเยียอย่างสนใจ
นักเลงคนแรกกระซิบ “เด็กหลงแน่ๆ พี่”
นักเลงอีกคนยิ้มหื่น “น่าสนนะ”
พเยียยกน้ำดื่มขึ้นมาดื่ม ปรากฏว่าหมดแล้ว พเยียเซ็ง จะลุกไปซื้อเพิ่ม ที่ด้านหน้าร้าน ตำรวจสายตรวจเดินเข้ามาดูแลความเรียบร้อยตามปกติ พเยียชะงัก ใจเต้นโครมคราม
ตำรวจหันมองพเยีย ตามปกติไม่ได้ติดใจ พเยียหันหลังขวับ แล้วเดินออกไปจากร้านทันที
นักเลงสองคนมองตามพเยีย ส่งสายตากัน ตำรวจมองตามพเยียไป สายตาสงสัย
เย็นย่ำลงไปทุกทีแล้ว พเยียก้มหน้าก้มตาเดินจ้ำอ้าวหลบตำรวจเข้ามาในซอยเปลี่ยว ในซอยมีถังขยะวางเรียงกันอยู่หลายใบ
พเยียได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ ยิ่งเอาหมวกปิดหน้า จะวิ่งหนี แต่มอเตอร์ไซค์มาขวางไว้ก่อน
ปรากฏว่าไม่ใช่ตำรวจ แต่เป็นนักเลงสองคนนั้น
“จะไปไหน น้อง” นักเลงคนแรกทัก
พเยียบอกเสียงดุๆ “กลับบ้าน”
พเยียจะวิ่งหนี ชายทั้งสองลงมาขวางไว้
“ไปคุยกับพี่ก่อน” ชายคนเดิมบอก
นักเลงทั้งคู่จะเข้าไปจับตัวพเยีย พเยียตกใจกลัว ชักปืนออกมาจากกระเป๋า ขู่
“อย่าเข้ามานะ ถ้าเข้ามาแกตายแน่”
นักเลงทั้งสองคนชะงัก เมื่อเห็นปืน แล้วกลายเป็นโกรธ
“เล่นปืนกับกูเลยเหรอ วอนซะแล้วอีนี่” ชายคนที่สองโมโห
ชายคนแรกพยักหน้าบอกกัน “เอามัน”
ทั้งสองช่วยกันล่อหลอก กลุ้มรุมหมายจะจับพเยีย พเยียกวาดปืนไปรอบทิศ กลัวมาก
โดยที่ปากซอยเวลานั้น ตำรวจสายตรวจสองคน ขับมอเตอร์ไซด์ตามมาเห็นพอดี ร้องตะโกนมาแต่ไกล
“เฮ้ย หยุดนะ อะไรกันน่ะ”
นักเลงสองคนชะงัก แล้วกระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์หนีไป
พเยียยิ่งตกใจกว่า
“ตำรวจ”
ตำรวจขับมอเตอร์ไซค์เข้าซอยมา
พเยียฉวยโอกาสวิ่งหนีไปอีกซอย ซอยยาวไกลโล่งตลอด พเยียมองซ้ายมองขวา ไม่มีที่หลบ มีแต่ถังขยะของกทม.หลายใบวางเรียงอยู่แถวนั้น
ตำรวจขับรถตามเข้าซอยมา มาถึงหน้ากองขยะ ไม่เห็นใคร พากันแปลกใจ
“ไม่มีใครเลย สงสัยเปิดหนีไปหมดแล้ว”
“คงมาส่งยากัน เฮ้อ ปราบเท่าไหร่ไม่หมดซะทีสิน่า ไอ้พวกนี้”
ตำรวจ 2 คน กลับออกไป
ครู่ต่อมา ทุกอย่างเงียบลงพเยียค่อยๆ ปีนขึ้นมาจากกองขยะ ในสภาพเลอะเทอะไปทั้งตัว ทั้งเหม็น ทั้งสกปรก พเยียก้มมองสภาพตัวเองแล้ว ทั้งโกรธ ทั้งกลัว เครียดมาก พเยียกรี๊ดลั่นคว้าถ้วย ถังแถวนั้นมาขว้างปาอย่างคนเสียสติ พเยียอาละวาด ทุบกำแพง ร้องไห้โฮ พเยียอาละวาดจนเหนื่อย แล้วค่อย ๆ ทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง
พเยียร้องไห้โฮ “นังกอหญ้า เพราะแกคนเดียว เพราะแกคนเดียว”

ที่วัดซึ่งจัดงานศพนภาจรี ศพนภัสรพีตั้งเด่นอยู่ในศาลาหลังหนึ่งของวัดแห่งนั้น บรรยากาศการเศร้าสลด คนจัดดอกไม้ 2-3 คนกำลังช่วยกันจัดดอกไม้หน้าศพ ศรีกับคนงานอีกคนเช็ดเก้าอี้ กวาดพื้น อีกคนจัดอาสนะของพระ ทุกคนช่วยกันเตรียมของตามหน้าที่
กอหญ้าจัดดอกพานดอกไม้สำหรับไหว้พระพุทธเสร็จก็ยกไปวางที่หิ้งพระ แต่ตนไม่ได้ไหว้เพราะเป็นคริสต์ จากนั้นจึงมองหานภดารา
กอหญ้าเห็นนภดาราเหมือนยืนจัดดอกไม้ที่ขาตั้งรูปนภัสรพี แต่จริงๆ แล้วนภดารากำลังอยู่ในภวังค์ คิดถึงผู้เป็นบิดา
กอหญ้าเดินเข้าไปหานภดารา ถึงเห็นว่านภดาราน้ำตารื้น
“คุณแม่อย่าร้องไห้เลยนะคะ เดี๋ยวคุณตาจะเป็นห่วง” กอหญ้าปลอบ
นภดารารู้สึกตัว กลั้นน้ำตา หันไปยิ้มให้กอหญ้ากลบเกลื่อนความเศร้า
“แม่อดคิดไม่ได้ซักที ว่าแม่เป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณตา คุณยายเล็ก แล้วก็แม่ชื่นตาย”
“คุณแม่อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว”
นภดาราหันมามองกอหญ้า “ถ้าคุณตายังอยู่ ท่านคงจะดีใจมากที่หนูเป็นหลานแท้ๆ ของท่าน”
กอหญ้ายิ้มอ่อนโยน หันไปพูดกับรูปนภัสรพี
“ดวงวิญญานของท่านคงจะทราบแล้วล่ะค่ะ แล้วท่านก็คงกำลังมองเราสองคนอยู่” กอหญ้ากอดปลอบนภดารา “แล้วท่านก็คงอยากเห็นคุณแม่มีความสุข”

หม่อมหลวงนภดาราชื่นใจในคำพูดของธิดา ที่พลัดพรากกันมากว่า 19 ปี ยิ้มทั้งน้ำตา
ตกตอนเย็นอรรถกับอิศรเดินเข้ามาด้วยกัน ในบริเวณวัด อรรถมองไปเห็นกอหญ้ากับนภดารายืนอยู่หน้าศาลา อรรถทำหน้าลำบากใจ เหมือนไม่อยากจะเดินเข้าไปหา อิศรชะงัก มองหน้าพ่อ

“เป็นอะไร พ่อ ทำหน้าอย่างกับเห็นผี”
“ไอ้บ้า ปากเสีย”
“แล้วทำไมทำหน้าพิลึกอย่างงั้น”
“ฉันก็แค่...อายหนูกอหญ้าเค้าน่ะ ก่อนหน้านี้ก็พูดไม่ดีกับเค้าเอาไว้เยอะ ใครจะไปนึก ว่าเค้าจะกลายเป็นลูกสาวของหม่อมหลวงนภดารา”
อรรถบ่นอุบ อิศรยิ้มขำพ่อ

กอหญ้ายืนรับแขกคู่กับนภดาราอยู่ที่หน้าศาลา สองแม่ลูกอยู่ในชุดไทยสีดำ โก้ หรู ดูดี และงามสง่า ทั้งกอหญ้าและนภดารามีสีหน้าสงบ ในศาลายังโล่งๆ เนื่องจากแขกเพิ่งเริ่มมากันไม่กี่คน อิศรเดินเข้ามากับอรรถ
นภดาราทักทาย “พี่อรรถ คุณอิศร”
นภดารากับกอหญ้าไหว้อรรถ อิศรไหว้นภดารา อรรถรับไหว้เขินๆ
“ขอบคุณนะคะ ที่มา” นภดาราบอก
อรรถยังไม่ทันตอบ อิศรชิงพูดขึ้นขำๆ

อ่านละคร แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 14/2 วันที่ 20 มี.ค. 56

ละครเรื่อง แผนรักแผนร้าย บทประพันธ์ : ไอริณ
ละครเรื่อง แผนรักแผนร้าย บทโทรทัศน์ : ทีมเอ็กแซ็กท์
ละครเรื่อง แผนรักแผนร้าย กำกับการแสดง : สันต์ ศรีแก้วหล่อ, วรวิทย์ ขัตติยโยธิน
ละครเรื่อง แผนรักแผนร้าย แนวละคร : เมโลดราม่า - โรแมนติก
ละครเรื่อง แผนรักแผนร้าย ออกอากาศทุกคืนวันพุธ-พฤหัส 20.10 - 21.40 น. ทาง ททบ. 5
ละครเรื่อง แผนรักแผนร้าย เริ่มออกอากาศตอนแรกวันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
ที่มา manager