อ่านละคร บ่วงวันวาร ตอนที่ 10/2 วันที่ 21 ม.ค. 56

อ่านละคร บ่วงวันวาร ตอนที่ 10/2 วันที่ 21 ม.ค. 56

เวลาล่วงเลยไปอีก กนิษฐาเปิดมาดูรายชื่อถึงคนที่ ๘ แล้วหยุดชะงักตรงชื่อ “พระยาโกสินทร์”
กนิษฐาพึมพำ “พระยาโกสินทร์”
กนิษฐาใช้นิ้วไล่หาคำว่าตรวนทองคำต่อไปเรื่อยๆ ครู่หนึ่ง กนิษฐาก็หยุดชะงัก ตาลุกวาวด้วยความดีใจ แล้วยิ้มออกมา

ในหนังสือวิทยานิพนธ์เล่มนั้นระบุชัดเจนว่า “พระยาโกสินทร์หรือแช่ม ผู้ที่ได้รับพระทานตรวนทองคำแต่เพียงผู้เดียวในฐานะผู้สร้างคุณงามความดีให้แก่ประเทศ”



กนิษฐาดีใจพูดออกมา “พระยาโกสินทร์หรือแช่ม ผู้ที่ได้รับพระราชทานตรวนทองคำแต่เพียงผู้เดียวในฐานะผู้สร้างคุณงามความดีให้แก่ประเทศ”
กนิษฐาเปิดอ่านต่อไปเรื่อยๆ แต่ไม่มีข้อมูลหรือที่มาที่ไปเกี่ยวกับตรวนทองคำอีกเลย จึงทำหน้าเซ็ง
“ข้อมูลมีแค่เนี้ย!”
จังหวะนั้นกนิษฐาคิดอะไรบางอย่างออก จึงรีบเดินออกไปจากห้องทันที

ไม่นานหลังจากนั้นกนิษฐา พาตัวเองเดินเข้ามาในห้องสมุดในหอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี
“พระยาโกสินทร์”
กนิษฐาพึมพำ แล้วรีบเดินตรงไปที่คอมพิวเตอร์หาข้อมูลหนังสือ กนิษฐาหาชื่อพระยาโกสินทร์ในคอมพิวเตอร์
จอคอมพิวเตอร์โชว์ข้อมูลหนังสือที่เกี่ยวกับคำว่า “โกสินทร์” ขึ้นมาเยอะมาก กนิษฐาเซ็ง!
“แล้วมันเล่มไหนเนี่ย?”
สักครู่หนึ่ง สายตากนิษฐาก็กวาดไปเห็นข้อมูลที่เขียนระบุว่า
“อนุสรณ์งานฌาปณกิจ 'พระบำราชไมตรี เจ้ากระทรวงการต่างประเทศ (ฉาย โกสินทร์พิทักษ์)'..."
กนิษฐาหยุดชะงัก ครุ่นคิด พึมพำออกมา
“ฉาย โกสินทร์พิทักษ์ กับ พระยาโกสินทร์ หรือว่าเป็นญาติกัน?" กนิษฐาเนื้อเต้นดีใจยิ่งนัก "เล่มนี้แหละ น่าจะได้ข้อมูลอะไรบ้าง"

กนิษฐาจดรหัสหนังสือแล้วเดินตรงดิ่งไปที่ตู้หนังสือ
กนิษฐาเดินหาหนังสือตรงอีกมุมในหอสมุดแห่งชาติ ครู่หนึ่ง ก็เห็นหนังสือ “อนุสรณ์งานฌาปณกิจพระบำราชไพรีพินาศ (ฉาย โกสินทร์พิทักษ์)”

กนิษฐาดีใจ! รีบหยิบแล้วเดินมาอ่านที่โต๊ะ เป็นหนังสือบอกเล่าประวัติของฉายนั่นเอง
ในหนังสือมีสายสัมพันธ์เครือญาติโยง หรือ Family tree เผยให้เห็นว่าใครเป็นใคร เพื่อเข้าใจมากขึ้น แต่ไม่มีรูปบุคคลที่กล่าวมาทั้งสิ้น
กนิษฐาเริ่มอ่านอย่างตื่นเต้น
“จริงๆ ด้วย ฉาย โกสินทร์พิทักษ์เป็นลูกชายของพระยาโกสินทร์นี่เอง”
เสียงกนิษฐาอ่านตามข้อมูลในแผนผัง Family tree
“พระบำราชไพรีพินาศ หรือ ฉาย โกสินทร์พิทักษ์ มีพี่น้องหนึ่งคนชื่อหมื่นบริรักษ์สงคราม หรือ ฉัตร…ต่อมาพระบำราชไพรีพินาศได้สมรสกับ คุณหญิงศรีจันทร์ มีบุตรชายหนึ่งคนคือ พระไพศาลนิติ ธรรมรงค์ หรือ เฉิด โกสินทร์พิทักษ์ พระไพศาลนิติธรรมรงค์ได้สมรสกับ คุณหญิงเจิดจรัส มีบุตรสาวหนึ่งคนคือ สร้อยสุดา โกสินทร์พิทักษ์”
แผนภูมิสายสัมพันธ์เครือญาติ Family tree จบที่ชื่อ สร้อยสุดา โกสินทร์พิทักษ์ กนิษฐารำพึงออกมาอย่างมีความหวัง
“คุณสร้อยสุดา ทายาทคนสุดท้าย ต้องรู้เรื่องตรวนแน่ๆ”

ที่วัดแห่งนั้น หลวงพ่อกสินนั่งสมาธิอยู่บนกุฏิ สักครู่หนึ่ง หลวงพ่อก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“กงกรรมกงเกวียน เวียนมาบรรจบพบกัน เวรกรรมที่ทำไว้ในอดีตชาติก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามสัจธรรม…กรรมย่อมมีทางของมัน”
ขณะเดียวกันรถของพิมพิลาสแล่นมาจอดในลานวัด พิมพิลาสกับป้าทิพย์เดินลงมาจากรถ นายมากซึ่งนั่งขอทานอยู่อีกมุม ได้ยินเสียงรถแล่นมาจอด จำได้แม่นว่าเป็นเสียงรถตู้ของพิมพิลาส นายมากรีบปรี่เข้ามาหาตามเสียง
“หนู…หนูมาทำบุญเหรอจ๊ะ”
“เปล่าจ้ะ” พิพิลาสบอก
“แล้วมาทำอะไรล่ะ”
ป้าทิพย์เอ่ยถาม “วันนั้นที่บอกว่ามีหมอดูแม่นๆ น่ะ บ้านเขาอยู่ตรงไหน”
มากนึกออก “อ๋อ…มาดูดวงใช่ไม๊…ไปๆ เดี๋ยวฉันพาไป อยู่หลังวัดนี่เอง”
มากเดินนำหน้า พิมพิลาสกับป้าทิพย์เดินตาม

ระหว่างนั้นหลวงพ่อกสินยืนมองอยู่ที่หน้าโบสถ์ พร้อมกับพึมพำออกมา
“หนทางเดียวที่จะพ้นบ่วงเวรบ่วงกรรมไปได้คือการไม่จองเวร…ถ้าละเว้นไม่ได้ก็ต้องทนทุกข์ทุกชาติไป”

มากเดินนำพิมพิลาสกับป้าทิพย์มาหยุดที่บ้านหลังหนึ่งด้านหลังวัด บรรยากาศดูวังเวง จนพิมพิลาสและป้าทิพย์ มองอย่างกลัวๆ
“หลังนี้น่ะเหรอ” ป้าทิพย์ถาม
“ใช่ หลังนี้แหละ…เขาชื่อหมอเดือน ใครๆ ก็เรียกว่าหมอดูตาทิพย์ แม่นมาก…” มากอยากรู้ “แล้วที่มาหาหมอเดือนนี่ มีปัญหาอะไรกันเหรอ”
“ไม่ใช่เรื่องของแก”
ป้าทิพย์ตัดบท แล้วยื่นเงินให้มาก
“ขอบใจมาก…แกไปได้แล้ว”
มากรับเงินแล้วเดินออกไป
พิมพิลาสมีท่าทีหวาดผวา ทำท่าจะกลับ
“ป้ากลับกันเถอะ…ไม่น่าไว้ใจเลย”
แต่แล้วจังหวะนั้นก็มีเสียงหญิงแก่สำเนียงดุดันและหนักแน่น ดังลอดออกมาจากบ้านหลังนั้น
“ถ้ามึงออกไปแล้ว ก็ไม่ต้องกลับมาอีก”
หญิงแก่ในบ้านคนนั้น ยังพูดต่ออีก
“แล้วกูจะไม่บอกที่มึงทรมานทั้งกายและใจอยู่ทุกวันนี้มันคืออะไร”
พิมพิลาส กับป้าทิพย์ชะงัก ตกใจ เหลียวมามองหน้ากัน

สองคนเดินเข้ามาในบ้าน บรรยากาศยิ่งดูวังเวงและน่ากลัว ในบ้านมีเพียงแสงสลัวๆ ทั้งคู่เดินมาเห็นหญิงแก่คนหนึ่งนั่งอยู่
ในจังหวะที่หญิงแก่เงยหน้าขึ้นมา ใบหน้านั้นปะทะกับแสงที่ส่องลอดเข้ามาพอดี ซึ่งก็คือแม่หมอเดือน! หน้าตาดุแลดูน่ากลัว กำลังนั่งเคี้ยวหมากอยู่หมับๆ
“มึงมีปัญหากับแฟนใช่ไม๊” เดือนเอ่ยขึ้น
สองคนอึ้ง! ที่แม่หมอเดือนรู้
“โรคที่มึงเป็นอยู่นี่ก็เกือบจะฆ่ามึงหลายแล้วใช่ไม๊”
พิมพิลาสอึ้งไปอีกครั้ง เดือนพูดเสียงดัง
“มึงอยากรู้ส่งมือมา”
พิมพิลาสลังเล มองมาทางป้าทิพย์ หญิงชราพยักหน้าให้ทำตาม พิมพิลาสส่งมือให้เดือนจับ
เดือนหลับตา ท่องคาถาปากขมุบขมิบ
สักครู่หนึ่งเท่านั้น ภาพย้อนอดีตในนิมิตเดือนเห็นกรรมมากมายที่พิมพิลาสก่อไว้ ทั้งใช้แส้ฟาดลงไปบนหลังคน เห็นคนถูกไฟคลอกตาย! เสียงคนเจ็บปวดอย่างทุกข์ทรมานแสนสาหัส
สีหน้าเดือน ตื่นตกใจมาก ผลักมือพิมพิลาสออกไป พลางเอ่ยขึ้น
“ชาติที่แล้วมึงฆ่าคน กูไม่เคยเห็นใครเลวและบาปหนาเท่ามึง ชาตินี้มึงต้องชดใช้ โรคเลือดที่มึงเป็นอยู่มันเป็นโรคกรรมเกือบจะฆ่ามึงหลายครั้งแล้ว แต่เพราะมึงมีผู้อุปถัมภ์ค้ำชูดีเลยแคล้วคลาดรอดมาได้ มึงต้องเสียของรัก! เสียของหวง มึงต้องรับกรรมอย่างสาสม”
พิมพิลาส กับป้าทิพย์ตกใจมาก
ป้าทิพย์ฉุนขาด “ไม่จริง!...กลับเถอะหนูพิม”
เดือนโมโห กระทืบเท้าดังปัง!
“ไม่เชื่อมึงก็ออกจากบ้านกูไป แล้วอย่ามาให้เห็นหน้าอีก คนบาปอย่างหลานมึง กูไม่อยากยุ่งด้วย กูไม่ดูให้อีกแล้ว!มึงออกจากบ้านกูไปเลย”
พิมพิลาส กับป้าทิพย์ หน้าเสีย ใจคอไม่ดีเอาเลย
“กลับเถอะหนูพิม”
พิมพิลาส กับป้าทิพย์ เดินออกมาด้วยสีหน้าไม่ดี

ครู่ต่อมามากโผล่ออกมาจากข้างบ้าน หลังแอบฟังเรื่องราวและได้ยินทั้งหมด
ตามากเก็บความสงสัยไม่อยู่ และอยากรู้เอามากๆ จึงเข้ามาถามเดือนในบ้าน

“นี่ๆ …แม่หนูคนนั้นเขามาดูอะไรเหรอ?”
เดือนเบ้ปาก! แล้วถุยน้ำหมากกระจาย
“สู่รู้...มึงไปไกลๆ เลย ไม่ใช่เรื่องของมึง”
เดือนเดินหนี มากเดินตามถามเซ้าซี้ เพราะอยากรู้
“ฉันได้ยินอะไรบาปๆ เลวๆ แม่หนูเขาทำอะไรเหรอ”
เดือนมองมากหน้าตาดุ รู้ว่าชาติที่แล้วมากทำอะไรเลวร้ายเอาไว้
“กูจะบอกให้ก็ได้ ชาติที่แล้วนังผู้หญิงคนนั้นก็เลวพอๆ กับมึงนั่นแหละ”
พูดจบเดือนก็เดินหนีไป มากไม่เข้าใจที่เดือนพูด งงๆ ยืนเกาหัวตัวเองแกรกๆ อยู่อย่างนั้น

เย็นนั้นพอพิมพิลาสกับมาถึงบ้าน ก็นั่งใจเสียอยู่ และคิดถึงแต่คำพูดของเดือน
“ชาติที่แล้วมึงฆ่าคน! กูไม่เคยเห็นใครเลวและบาปหนาเท่ามึง! ชาตินี้มึงต้องชดใช้! โรคเลือดที่มึงเป็นอยู่ มันเป็นโรคกรรมเกือบจะฆ่ามึงหลายครั้งแล้ว แต่เพราะมึงมีผู้อุปถัมภ์ค้ำชูดีเลยแคล้วคลาดรอดมาได้! มึงต้องเสียของรัก! เสียของหวง มึงต้องรับกรรมอย่างสาสม!”

ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น พิมพิลาสสะดุ้งตื่นจากภวังค์ กดรับสาย
“ฮัลโหล…ค่ะภูมิ”
ภีร์ภูมิอยู่ที่ออฟฟิศ ขณะคุยสายกับพิมพิลาสที่อยู่ในห้องนอน
“พิม…วันนี้ไม่ต้องรอผมทานข้าวนะ พิมทานไปเลย ผมติดงานนิดหน่อย”
“พิมรอได้นะ พิมอยากให้ภูมิกลับมาทานข้าวกับพิม วันนี้พิมรู้สึกไม่สบายใจเลย” พิมพิลาสบอก
“ไม่ต้องรอผมหรอกพิม…ไว้พรุ่งนี้เช้าผมจะไปหานะ”
พิมพิลาสอึ้ง “สรุปภูมิจะทำงานต่อใช่ไม๊คะ”
“ครับ…ผมขอโทษนะครับพิม”
“ค่ะ”
พิมพิลาสวางโทรศัพท์ในท่าทีโรยแรง น้ำตาคลอๆ ก่อนจะครวญคร่ำออกมา
“ภูมิเปลี่ยนไปจริงๆ ด้วย…ภูมิไม่สนใจพิมแล้ว!”

ขณะเดียวกันไก่ก็ออกอาการงงๆ และแซวเจ้านายขำๆ
“นั่นแน่ๆ เดี๋ยวนี้หัดเป็นเด็กเลี้ยงแกะนะ! เมื่อกี้ผมได้ยินนะลูกพี่...โกหกคุณพิมเธอทำไม งานก็เสร็จหมดแล้ว ไม่ใช่เหรอ”
ภีร์ภูมินิ่ง ไม่ตอบโต้ไก่ใดๆ นั่นทำให้ไก่ ก็รู้สึกแปลกใจ
“วันนี้แปลกทำไมไม่ด่ากลับ…ลูกพี่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
ภีร์ภูมิถอนหายใจเฮือกใหญ่พูดอย่างจริงจัง “ไก่…ฉันรู้สึกว่าพิมไม่ใช่คนที่ฉันต้องการอยู่ด้วยไปตลอดชีวิต”
ไก่อึ้งไปเลย ภีร์ภูมิพูดต่อ
“ฉันไม่ได้รักพิมอย่างคนรัก ฉันรักเขาเหมือนเพื่อนคนนึง แล้ววันหนึ่งฉันไม่อยู่เขาต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยตัวเองให้ได้”
“ถ้าคุณพิมรู้ต้องเสียใจมากๆ เลยนะครับ” ไก่หน้าเศร้าลง
“ถึงเวลานั้นเขาต้องยอมรับความจริงให้ได้…อีกอย่างฉันก็ไม่ได้หนีเขาไปไหน ฉันก็ยังจะดูแลเขาตลอดไป แต่คงไม่เหมือนที่ผ่านมา”
ไก่งงเอามากๆ “อะไรเข้าสิงลูกพี่เนี่ย ถึงเพิ่งคิดได้ตอนนี้”
“ฉันเจอคนที่ฉันรักแล้ว”
ฟังภีร์ภูมบอกท่าทีจริงจัง ไก่ตกใจเว่อร์ๆ “ห๊ะ! พระเจ้าช่วยกล้วยทอด! แล้วทำไมเพิ่งมาเจอเอาป่านนี้ อยากรู้จริงๆ ว่าผู้หญิงที่โชคร้าย เอ๊ย! โชคดี คนนั้นเป็นใคร”

ตอนเย็นวันนั้น บุษบันขับรถเข้ามาจอดที่หน้าแกลอรี่ ตะวันฉายยืนรออยู่แล้ว บุษบันรีบลงมาจากรถ
“เร็วๆ เลย ยัยนิดรออยู่” ตะวันฉายบอกอย่างร้อนรน
“ได้ข้อมูลแล้วใช่ไหม จะได้รู้กันซะที”
“รู้แล้วสิ ฉันถึงได้เรียกเธอมานี่ไง”
ตะวันฉายกับบุษบันรีบเข้าไปในแกลอรี่เร็วรี่

กนิษฐารออยู่ในห้องที่ชั้นบน และกำลังจับดูตรวนอยู่ สองคนเดินเข้ามา
“มาแล้วๆ” ตะวันฉายร้องขึ้น
กนิษฐาวางตรวนลงบนโต๊ะ
ตะวันฉายถามทันที “ตกลงตรวนนี้มันเป็นอะไรยังไง”
บุษบันมองตรวนทองคำ ที่ข้างๆ มีกระดูกมือวางอยู่ด้วย กนิษฐามองหน้าบุษบัน สลับกับมองหน้าตะวันก่อนพูดออกมา
“ตรวนทองคำอันนี้เป็นของพระยาโกสินทร์ที่ได้รับพระราชทานมา”
ตะวันฉายออกอาการตื่นเต้น
“ตรวนพระราชทานจริงๆ แล้วยังไงอีก อย่าบอกนะว่ารู้แค่เป็นของพระยาโกสินทร์”
“ฉันกำลังหาเพิ่มเติมอยู่”
บุษบันยังไม่กระจ่าง รู้สึกค้างคาใจ
“ฉันก็ยังไม่ได้คำตอบอยู่ดีว่าทำไมฉันถึงเจ็บข้อมือ”
ตะวันฉายอำอีก “สงสัยผีพระยาโกสินทร์ที่สิงอยู่ในตรวนคงไม่ชอบเธอมั้ง”
กนิษฐาให้กำลังใจ
“อย่าเพิ่งหมดหวังไปเลยคุณบุษ ฉันได้ข้อมูลมาว่าพระยาโกสินทร์มีทายาทอยู่คนหนึ่ง คนนี้แหละอาจจะเป็นคำตอบให้คุณก็ได้ว่าทำไมตรวนนี้ถึงไปอยู่ในน้ำ แล้วทำไมคุณถึงเจ็บข้อมือ”
บุษบันมองตรวนอย่างสงสัย และอยากรู้เต็มกลืน

ตกกลางคืน บุษบันนั่งขัดคิวปิดอย่างเหม่อลอย ในใจคิดถึงเรื่องกระดูกมือ ข้างๆ มีกล่องดนตรีวางอยู่
บุษบันนึกถึงคำพูดกนิษฐาที่บอกว่าพระยาโกสินทร์มีทายาทอยู่
“พระยาโกสินทร์มีทายาทอยู่คนหนึ่ง คนนี้แหละอาจจะเป็นคำตอบให้คุณก็ได้ว่าทำไมตรวนนี้ถึงไปอยู่ในน้ำ แล้วทำไมคุณถึงเจ็บข้อมือ”
บุษบันดึงตัวเองกลับมา
“ที่เราเจ็บข้อมือหรือว่ากระดูกมือนั่นจะเป็นมือของเรา”
บุษบันหยิบกล่องดนตรีที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาดู สีหน้าครุ่นคิด

ขณะนั้นรถของภีร์ภูมิแล่นมาจอดที่หน้าบ้านบุษบัน ภีร์ภูมิก้าวลงจากรถ ลังเลว่าจะเข้าไปหาบุษบันดีไหม
“เขายังโกรธเราอยู่หรือเปล่านะ”

ภีร์ภูมิมองเข้าไปในบ้านบุษบัน ก่อนจะตัดสินใจกลับ ทว่าในจังหวะที่ภีร์ภูมิกำลังเปิดประตูรถนั้น เสียงเพลงจากกล่องดนตรีดังแว่วออกมา
ภีร์ภูมินิ่งฟังรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด เขากลับตัวเดินเข้าไปในบ้านบุษบันตามเสียงเพลงนั้น

บุษบันกำลังฟังเพลงจากกล่องดนตรี สายลมพัดเบาๆ ผมบุษบันปลิวสยายไปตามสายลม บุษบันปล่อยใจไปตามเสียงเพลง ห่างออกไปทางด้านหลัง ภีร์ภูมิเดินเข้ามา มองบุษบันด้วยความรู้สึกรักหมดใจ

อ่านละคร บ่วงวันวาร ตอนที่ 10/2 วันที่ 21 ม.ค. 56

ละคร บ่วงวันวาร บทประพันธ์-บทโทรทัศน์โดย : ฐา-นวดี สถิตยุทธการ
บ่วงวันวาร กำกับการแสดง : จาริวัฒน์ อุปการไชยพัฒน์
บ่วงวันวาร แนวละคร : ดราม่า
บ่วงวันวาร ผลิต : บ.เอ็กแซ็กท์ - บ. ซีเนริโอ
บ่วงวันวารอำนวยการผลิต : นิพนธ์ ผิวเณร และ ถกลเกียรติ วีรวรรณ
บ่วงวันวารออกอากาศ : พุธ - พฤหัส เวลา 20.15 - 21.45 น. (เพิ่มเวลาออกอากาศ เป็น 90 นาที)
ติดตามชม ละครเรื่อง บ่วงวันวารได้ทาง ททบ.5 เริ่มออกอากาศวันแรกเดือนมกราคม 2556
ที่มา manager