อ่านละคร บ่วงวันวาร ตอนที่ 9 วันที่ 18 ม.ค. 56

อ่านละคร บ่วงวันวาร ตอนที่ 9 วันที่ 18 ม.ค. 56

บุษบันพูดใส่หน้า “แต่ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ” หันไปบอกตั้ม “ไอ้ตั้มส่งแขก! แล้วล็อคประตู บ้านเลยนะ ห้ามให้คนคนนี้เข้ามาอีก!”
บุษบันเชิ่ดใส่ กำลังจะกลับเข้าไปในบ้าน
ภีร์ภูมิเรียกไว้ “เดี๋ยวสิ! ผมจะถามเรื่องที่คุณเจ็บข้อมือเมื่อวาน!”
บุษบันหยุดชะงัก

เวลาต่อมาสองคนอยู่ที่อีกมุมในบ้านบุษบัน
“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าฉันเจ็บข้อมือเพราะตรวนอันนั้น” บุษบันถามทันที
“เพราะตอนที่ผมจับตรวนนั่นผมก็เจ็บข้อมือเหมือนกัน!”



บุษบันอึ้งๆ
“ผมเห็นคุณเจ็บข้อมือข้างขวา!”
บุษบันนิ่งคิด ก่อนจะค่อย ๆ จับที่ข้อมือข้างขวา
“เจ็บอะไร ไม่เจ็บซะหน่อย” ชูข้อมือขึ้นให้ภีร์ภูมิดู “เนี่ยๆ เจ็บที่ไหน”
“คุณจะปฏิเสธทำไมก็ผมเห็นคุณเจ็บกับสองตาของผม”
ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์ภีร์ภูมิดังขัดขึ้น หน้าจอโทรศัพท์เป็นพิมพิลาสโทรเข้ามา ภีร์ภูมิรับสาย
“ฮัลโหล…ครับ พิม!”
บุษบันได้โอกาสเดินหนีเข้าบ้าน แต่ภีร์ภูมิหันไปเห็น
“พิม สักครู่นะครับ” ภีร์ภูมิจับมือบุษบันไว้ “เดี๋ยว คุณบุษบัน ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย”
บุษบันสะบัดมือออก “ปล่อยฉันนะ!...แล้วกลับไปได้แล้ว ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคุณ”
บุษบันเดินหนีไป
ภีร์ภูมิกับพิมพิลาสที่รอสายอยู่ “พิม ผมติดธุระอยู่ เดี๋ยวผมโทร.กลับนะครับ”
ภีร์ภูมิกดวางสายไป
“คุณบุษบัน คุณยอมรับมาเถอะว่าคุณก็เจ็บข้อมือเหมือนผม คุณไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมเราถึงเจ็บเหมือนกัน”
บุษบันได้ยิน หยุดชะงัก ภีร์ภูมิเข้าไปดึงมือบุษบัน
“เชื่อผมเถอะครับ ระหว่างคุณกับผม และตรวนนั่นต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกัน และเคยผูกพันกันมาก่อนแน่”
บุษบันสะบัดมือออก
“ไม่! ฉันไม่เคยมีความผูกพันกับคุณ”
“คุณไม่ยอมรับใช่ไหม...ได้” ภีร์ภูมิชักโมโหในความดื้อของบุษบัน
ภีร์ภูมิเข้าไปคว้าโทรศัพท์บุษบันจากมือ!
บุษบันหน้าเหวอ ร้องโวยวาย “คุณ! ทำอะไรของคุณน่ะ เอาโทรศัพท์ฉันคืนมานะ”
ภีร์ภูมิใช้โทรศัพท์บุษบันโทรเข้าเครื่องตัวเอง บุษบันจะแย่งคืน พอโทร.เสร็จภีร์ภูมิก็ยื่นโทรศัพท์คืนให้บุษบันทันที
“เมื่อไหร่ที่คุณพร้อมจะยอมรับความจริงโทร.มาหาผม”
บุษบันรีบเข้าบ้าน ปิดประตูใส่หน้าภีร์ภูมิ
ขณะที่ภีร์ภูมิยืนนิ่งอยู่หน้าประตู บุษบันยื่นนิ่งอยู่หลังประตู เอามือจับข้อมือตัวเอง
บุษบันรำพึงกับตัวเอง “ตานั่นเจ็บข้อมือเหมือนเราจริงๆ เหรอ หรือจะปั่นหัวเราเล่น...แต่ตานั่นก็ยืนยันหนักแน่มาตลอดหรือว่าจะเจ็บจริง”
บุษบันคาใจมาก และอยากรู้ความจริงเหมือนกัน

ด้านพิมพิลาสผุดลุกผุดนั่ง ไม่สบายใจอยู่ที่บ้าน
พิมพิลาสพึมพำ “เสียงผู้หญิง!...ภูมิอยู่กับผู้หญิงคนนั้น!! ทำอะไรกัน”
ป้าทิพย์เดินเข้ามา เห็นพิมพิลาสกระวนกระวายอยู่
“หนูพิม เป็นอะไรหรือเปล่าลูก”
พิมพิลาสพยายามพูดอย่างควบคุมอารมณ์
“ภูมิเขาอยู่กับผู้หญิงคนนั้น! คนที่เขาพูดถึง”

ป้าทิพย์คิ้วขมวด “อะไรนะ?...แล้วหนูพิมรู้ได้ยังไง”
พิมพิลาสอธิบาย “เมื่อกี้พิมโทร.ไปหาภูมิ พิมได้ยินเสียงผู้หญิงพูดแทรกเข้ามาแล้วภูมิยังพูดชื่อผู้หญิงคนนั้นว่าบุษบัน พิมได้ยินเต็มสองหู”
ป้าทิพย์มองในแง่ดี “คุณภูมิเขาคุยอยู่กับลูกค้าอยู่หรือเปล่าหนูพิม ลูกค้าที่เป็นผู้หญิงก็มีตั้งหลายคนไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่ลูกค้าหรอกค่ะป้า การพูดการจาเขาดูสนิทสนมกันมาก”
“อย่าคิดมากนะคะ เชื่อป้าคุณภูมิเขาไม่มีวันทำให้หนูต้องเสียใจ…แล้วเราก็อย่าเพิ่งปักใจเชื่ออะไรง่ายๆ ถ้ายังไม่เห็นด้วยตา”

พิมพิลาสฟังป้าทิพย์แล้วนิ่งงันไป
เวลาผ่านไป นายมากขอทานตาบอดอยู่ที่บริเวณลานวัดและกำลังหยิบแบงค์ที่พิมพิลาสให้ไว้วันก่อนขึ้นมาจับ มาดม อย่างมีความสุข ชายชราพึมพำกับตัวเองแล้วยิ้มอย่างสุขใจ

“ได้ดมได้จับเงินมันมีความสุขแบบนี้เอง…จะเอาไปซื้ออะไรดีน๊า
แต่แล้วทันใดนั้น ก็มีมือใครคนหนึ่งแย่งแบงค์ร้อยจากมือนายมากไป
ที่แท้เป็นเด็กกลุ่มหนึ่ง ๓-๔ คน มายืนล้อมนายมากไว้
“ลุงถ้ายังคิดไม่ออกว่าจะเอาไปใช้อะไร…ขอพวกผมเอาไปใช้ก่อนนะ”
เด็กชายหัวโจกที่คว้าแบงค์ไปว่า เด็กคนอื่นๆ หัวเราะชอบใจ
“ไอ้พวกนี้…เอาเงินข้ามา”
มากพยายามคว้าจะเอาเงินคืน
“นะลุง ถือว่าให้ลูกให้หลานแล้วกัน” เด็กอีกคนเอ่ยขึ้น
“ข้าไม่มีลูกไม่มีหลานเว้ย!! เอาเงินข้าคืนมา อย่าให้จับได้นะจะตีให้ตายเลย!”
“แน่จริงก็มาแย่งให้ได้สิ”
เด็กชายหัวโจกว่า จากนั้นเด็กๆ ก็หัวเราะ แล้ววิ่งหนีไป
มากพยายามจะไล่ตาม มาจนถึงถนนหน้าวัด
“เอาเงินข้าคืนมา…ไอ้เด็กเวร!”
ทันใดนั้น ยินเสียงรถเบรกดังเอี๊ยด...
ที่แท้เป็นรถตู้ของพิมพิลาสที่กำลังเสียหลักหักหลบไม่ให้ชนมากจนหัวรถส่ายไปมา เฉียดนายมากไปนิดเดียว! รถจอดนิ่ง
ป้าทิพย์เดินลงมาจากรถท่าทางฉุนเฉียว พิมพิลาสเดินตามลงมา ป้าทิพย์ต่อว่ามากทันที
“มาวิ่งตัดหน้ารถแบบนี้ได้ยังไง มันอันตราย…แล้วนี่เป็นอะไรหรือเปล่า”
พิมพิลาสจำได้ “ลุงตาบอดที่อยู่ในวัดนี่จ้ะป้า”
มากได้ยินเสียงพิมพิลาสก็หูผึ่ง จำเสียงได้
“หนู…” พลางใช้จมูกดมกลิ่นน้ำหอม ยิ้มอย่างดีใจ “หนูคนนั้นจริงๆ ด้วย”
พิมพิลาสถามอย่างเป็นห่วง “ลุงเป็นอะไรไม๊?”
“ลุงไม่เป็นไร...หนูมาทำบุญใช่ไหม ให้ลุงพาไปหรือเปล่า ในวัดนี้มีที่ทำบุญเยอะเลย ทั้งปล่อยนกปล่อยปลา หรือจะไถ่ชีวิตโคกระบือก็มีนะ”
“ฉันขอเข้าไปไหว้พระก่อนดีกว่า”
ป้าทิพย์มาพาพิมพิลาสเดินไปในวัด นายมากยังตามตื้อไม่เลิก
“ชอบดูดวงไหมหนู หลังวัดมีแม่หมอตาทิพย์ดูดวงแก้กรรมทั้งอดีตปัจจุบันแม่นมาก ใคร ๆ เขาก็ชอบมากัน ทั้งสาวแก่แม่หม้ายถูกผัวทิ้งไม่เกินสามวันผัวกลับมารักมาหลงจนลืมตาไม่ขึ้นกันทั้งนั้น”
พิมพิลาสเห็นนายมากยังตามไม่เลิกเลยหยิบเงินยื่นให้
“นี่...ลุง”
นายมากรับเงินมา
“ขอบใจมากนะหนู จิตใจช่างดีเหลือเกิน ถ้าอยากทำบุญตรงไหนเรียกหาลุงได้ตลอดเลยนะ”
พิมพิลาสกับป้าทิพย์เดินห่างออกไป นายมากเลิกตามแล้ว

ไม่นานต่อมาพิมพิลาสกับป้าทิพย์ก้มลงกราบพระประธาน สายตาพิมพิลาสจ้องมองขึ้นไปยังพระพักตร์พระประธาน เหมือนจะอ้อนวอนให้บารมีของพระช่วยเหลือ
จังหวะนั้น หลวงพ่อกสินยืนมองอยู่ที่ด้านหลังพิมพิลาส ตรงหน้าประตูโบสถ์ พร้อมกับพึมพำออกมา
“บาปกรรมที่ทำเอาไว้ชาติที่แล้วมันใหญ่หลวงนัก ทำบุญทำกุศลไว้มากๆ เถอะโยมเผื่อว่ามันจะผ่อนหนักให้เป็นเบาได้”

เวลาตอนเย็น บุษบันกำลังใช้ตะไบ ตะไบแต่งคิวปิดอยู่ แต่เหมือนไม่มีสมาธิ คิดถึงแต่คำพูดของภีร์ภูมิที่ดังก้องในหัว
“คุณบุษบัน คุณยอมรับมาเถอะว่าคุณก็เจ็บข้อมือเหมือนผม คุณไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมเราถึงเจ็บเหมือนกัน”
บุษบันว้าวุ่นกลุ้มใจหนักปาตะไบทิ้ง และลุกขึ้นไปหยิบกุญแจรถเดินออกไปทันที

ไม่นานนักบุษบันพาตัวเองมาอยู่ที่แกลเลอรี่ของตะวันฉาย และเดินตรงเข้ามาด้านใน พร้อมกับตะโกนและมองหา
“ตะวัน ตะวัน”
ตะวันฉายซึ่งเตรียมตัวจะกลับบ้านเดินออกมาพอดี
“อ้าว ยัยบุษ มีอะไรหรือเปล่า มาทำอะไรป่านนี้?”
“ตรวนทองคำอยู่ไหน?”
“อยู่ในตู้เซฟข้างบน ทำไม?”
“ฉันขอดูอีกครั้ง”

สองคนอยู่ที่ชั้นสามแกลอรี่ ตะวันฉายเดินไปเอาตรวนทองคำออกจากตู้เซฟมาวางบนโต๊ะ
บุษบันจ้องที่ตรวนนั้นตาไม่กระพริบ
“มันจะเจ็บได้ยังไง ต๊องไปแล้วเพื่อนฉัน!”
ตะวันฉายเย้า พร้อมลองจับตรวนทองคำให้ดู
“เนี่ยๆ ฉันจับไม่เห็นเจ็บเลย …ห้อยคอให้ดูก็ได้” ตะวันฉายยังเอาตรวนมาห้อยคอให้ดู “เนี่ย เจ็บที่ไหน…ยัยนิดจับก็ไม่เห็นเจ็บ ไม่มีใครเจ็บสักคน!”
“ฉันนี่แหละเจ็บ” บุษบันว่า
“งั้นลองจับ!” ตะวันฉายวางตรวนลงบนโต๊ะ
บุษบันจ้องไปที่ตรวนครู่หนึ่ง แล้วค่อยเอื้อมมือไปจับตรวนอย่างลุ้นระทึก และพอมือสัมผัสที่ตรวนเท่านั้น บุษบันรู้สึกเจ็บข้อมือแปล๊บขึ้นมาทันที บุษบันชักมือกลับร้อง “โอ๊ย”
ตะวันฉายไม่เชื่อคิดว่าบุษบันอำ เลยขำใหญ่ “เล่นใหญ่นะเนี่ย! แกอย่ามาอำฉันดีกว่า มุขแบบเนี้ยเล่นมาตั้งแต่เด็กๆ”
บุษบันยังจ้องที่ตรวน หน้าซีด แปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก
ครั้นพอตะวันฉายเห็นบุษบันหน้าซีด ก็ตกใจ ถามอย่างเป็นห่วง
“บุษแกเป็นไรวะ? จะเป็นลมหรือเปล่า…ไปพักข้างนอกก่อนไม๊”
บุษบันนิ่ง พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ตะวัน…ฉันเจ็บข้อมือเพราะตรวนอันนี้จริงๆ!”
ตะวันฉายซีเรียส ชักสยองและเริ่มยิ้มไม่ออก แต่ยังพยายามคิดว่าไม่ใช่เรื่องจริง “ไม่เอาน่าบุษ เลิกอำฉันสักที นี่มันยุคไหนแล้วจะเกิดเรื่องพิลึกกึกกือแบบนี้ได้ยังไง”
บุษบันบอกต่อ “ฉันไม่ได้เจ็บคนเดียว นายภีร์ภูมิก็เจ็บเหมือนกัน”
คราวนี้ตะวันอึ้ง มองไปที่ตรวนทองคำเขม็ง
“แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไง?...อย่าบอกนะว่าตรวนอันนี้มี...ผะ...ผะ”
จู่ๆ ไฟในห้องก็ดับพรึบ!ลง

ตะวันฉายตกใจสุดขีด แหกปากร้องเสียงหลง

“ผะ...ผี!!! ไอ้บุษแกอยู่ไหน…ช่วยฉันด้วย ฉันกลัวผี”
ทันใดนั้น ก็มีแสงไฟฉายส่องที่ใบหน้าใครคนหนึ่ง ตะวันฉายหันมาเห็นก็ยิ่งตกใจ
“เฮ้ย!!! ผี”
ที่แท้เป็นพนักงานชาย ลูกน้องคนหนึ่งของตะวันฉายนั่นเอง
“ผมเองครับคุณตะวัน ไม่ใช่ผี!”
“แล้วแกจะเข้ามาทำอะไรตอนนี้วะ” ตะวันฉายฉุน
“ผมขึ้นมาปิดคัทเอ้าท์ไฟครับ ไม่รู้ว่าคุณตะวันจะขึ้นมาบนนี้อีก” พนักงานคนนั้นบอก

“ไอ้บ้า! ไปเปิดก่อนเลย” ตะวันฉายด่าเช็ด
เช้าวันใหม่กนิษฐาแวะมาที่แกลเลอรี่ กำลังเปิดตู้เซฟจะเอาตรวนออกมา ทว่าในตู้เซฟกลับว่างเปล่า กนิษฐาตกใจ พนักงานของร้านเดินเข้ามาพอดี กนิษฐารีบถามทันที

“ตรวนหายไปไหน”
“คุณตะวันมาเอาไปตั้งแต่เช้าแล้วครับ”
“เอาไปไหน?”
“เห็นบอกว่าจะเอาไปให้ลูกค้าดูที่โรงแรมครับ”
กนิษฐาโกรธจัด รีบเดินออกไปทันที เป้าหมายคือโรงแรมที่พนักงานบอก
ในเวลาเดียวกันที่ล็อบบี้โรงแรมหรูแห่งหนึ่ง ตะวันฉายนั่งอยู่ที่โซฟาเศรษฐีชายวัยกลางคน ลูกค้าคนสำคัญผู้นิยมของเก่าหายาก
ตะวันฉายยิ้มแป้น กำลังให้เศรษฐีดูรูปตรวนทองคำในไอแพดของตน
“นี่ครับ...รูปตรวนทองคำของโบราณแท้ๆ”
บนจอไอแพดเห็นเป็นภาพตรวนทองคำ ค่อยๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ หลายมุม พร้อมเสียงตะวันฉายอธิบาย
“ตรวนทองคำสมัยรัชกาลที่ ๕ เลยนะครับ”
“งดงามมาก...ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย”
“นี่แค่รูปนะครับยังงดงามขนาดนี้ ของจริงอยู่ที่แกลอรี่ไปชมได้เลยครับ”
“แล้วคุณจะขายในราคาเท่าไหร่”
ตะวันฉายยิ้มๆ
“ผมตั้งราคาไว้แปดสิบล้านบาทครับ”
เศรษฐีผู้นิยมของเก่าตกใจ “แปดสิบล้าน!”
“ครับ ราคานี้ราคาเดียว ผมว่าดูสมน้ำสมเนื้อแล้วนะครับกับของเก่าโบราณแบบนี้”

ระหว่างนี้เองกนิษฐาเดินเข้ามาที่โซฟาอย่างเอาเรื่อง เพราะโมโหที่ตะวันเอาตรวนมาขายโดยไม่บอกเธอ พูดอย่างฉุนเฉียว
“นี่คุณ! มาหลอกขายของคนอื่นอีกแล้วเหรอ โดนตำรวจจับยังไม่เข็ดหรือไง”
ตะวันหน้าเหวอ อึ้งไปครู่หนึ่ง
“เธอพูดอะไรของเธอ”
เศรษฐีมองงงๆ
กนิษฐาหันมาพูดกับเศรษฐี “คุณคะอย่าเชื่อเขา ของทุกอย่างที่คุณเห็นเป็นของปลอมทั้งนั้น ฉันหวังดีกลัวคุณจะถูกหลอกฉันเลยมาเตือน”
ตะวันฉายลุกขึ้นไปห้ามกนิษฐาไว้
“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ เธอกำลังทำให้ฉันเสียลูกค้ารายใหญ่นะรู้ไหม” แล้วหันมาทางเศรษฐีคนนั้น “ไม่จริงนะครับ ผู้หญิงคนนี้เขาบ้า”
กนิษฐาโพล่งขึ้นมาอีกดอก “ฉันเป็นลูกน้องอยู่ที่เดียวกับเขา คุณกำลังจะโดนหลอก”
เศรษฐีรายนั้นลุกพรวดขึ้น ด่าตะวัน “คุณนี่มันเลวจริงๆ ผมจะไม่ติดต่อค้าขายกับคุณอีกแล้ว”
แล้วเดินลิ่วออกไปท่าทางโกรธจัด

ตะวันฉายโกรธจัด ตามมาต่อว่ากนิษฐาที่หน้าโรงแรม
“เธอทำบ้าอะไรพูดแบบนี้ฉันเสียหายหมด ฉันไล่เธอออก!”
“ก็เอาสิ! ฉันจะได้แฉให้มากกว่านี้” กนิษฐาไม่หวั่น เถียงกลับ
ตะวันฉายอึ้งๆ

อ่านละคร บ่วงวันวาร ตอนที่ 9 วันที่ 18 ม.ค. 56

ละคร บ่วงวันวาร บทประพันธ์-บทโทรทัศน์โดย : ฐา-นวดี สถิตยุทธการ
บ่วงวันวาร กำกับการแสดง : จาริวัฒน์ อุปการไชยพัฒน์
บ่วงวันวาร แนวละคร : ดราม่า
บ่วงวันวาร ผลิต : บ.เอ็กแซ็กท์ - บ. ซีเนริโอ
บ่วงวันวารอำนวยการผลิต : นิพนธ์ ผิวเณร และ ถกลเกียรติ วีรวรรณ
บ่วงวันวารออกอากาศ : พุธ - พฤหัส เวลา 20.15 - 21.45 น. (เพิ่มเวลาออกอากาศ เป็น 90 นาที)
ติดตามชม ละครเรื่อง บ่วงวันวารได้ทาง ททบ.5 เริ่มออกอากาศวันแรกเดือนมกราคม 2556
ที่มา manager