อ่านละคร บ่วงวันวาร ตอนที่ 8/3 วันที่ 17 ม.ค. 56

อ่านละคร บ่วงวันวาร ตอนที่ 8/3 วันที่ 17 ม.ค. 56

ตะวันฉายพลอยตกใจ “เป็นอะไร!”
“ไม่รู้ อยู่ดีๆ ก็เจ็บข้อมือแปล๊บขึ้นมาเลย”
ตะวันฉายส่ายหัว “พอกัน ฉันยกเองก็ได้” ชายหนุ่มกัดฟันยก บ่นอุบ “เกิดเป็นผู้ชายนี่มันลำบากจริงๆ”
จากนั้นตะวันฉายเดินยกหินออกไป บุษบันจับข้อมือตัวเองอย่างแปลกใจ นึกถึงอาการเจ็บข้อมือที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้

บุษบันตัดสินใจมาตรวจอาการเจ็บข้อมือที่โรงพยาบาล และกำลังอยู่ในห้องตรวจกับหมอเวรเจ้าของไข้
หมอดูฟิล์มเอ็กซเรย์ข้อมือของบุษบันพลางเอ่ยขึ้น

“ไม่มีอาการผิดปกตินี่คะ ไม่มีการเคลื่อนหรือซ้นของข้อมือเลย”
บุษบันงุนงง “จะเป็นไปได้ยังไงคะคุณหมอ ฉันเพิ่งเจ็บข้อมือเมื่อเช้านี้นะคะ”
“อาจจะมีผลมาจากการใช้ข้อมือทำงานนาน ๆ มากจนเกินไปก็ได้ค่ะเดี๋ยวหมอจัดยาให้นะคะ ช่วงนี้ก็ทำงานเบา ๆ ถ้าเป็นไปได้งดใช้ข้อมือก็ดีนะคะ” หมอบอก
บุษบันมีสีหน้าครุ่นคิดว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วจับข้อมือตัวเอง


ตอนเย็นๆ บุษบันเดินออกมาจากโรงพยาบาล ยังข้องใจกับอาการเจ็บข้อมือของตัวเองอยู่ ในมือถือถุงใส่ยามาด้วย
บุษบันเดินผ่านร้านขายดอกไม้ เห็นดอกไม้หลากหลายชนิดดูสวยดี จึงเข้าไปดูดอกไม้ในร้าน

ครู่ต่อมาบุษบันอยู่ในร้านกำลังยืนเลือกดอกไม้อยู่ และอีกมุมหนึ่ง ภีร์ภูมิกำลังเลือกดอกไม้อยู่เหมือนกัน
บุษบันเดินดูไปเรื่อย ๆ หยิบดอกคาร์เนชั่นสีชมพูหวาน แล้ววางลง แล้วเดินไปที่อื่น ภีร์ภูมิเดินมาหยิบดอกคาร์เนชั่นสีชมพูดอกเดียวกับบุษบัน แล้ววางลงเช่นกัน
บุษบันเดินดูดอกไม้ไปทั่วร้านจนไปเห็นดอกลิลลี่สีขาวบริสุทธิ์ส่งกลิ่นหอมชื่นใจ เธอเดินเข้าไปใกล้แล้วถือไปให้พนักงานที่เค้าเตอร์จัดช่อ ภีร์ภูมิเดินมาหยิบดอกลิลลี่สีขาวแล้วเดินไปที่เค้าน์เตอร์
บุษบันนั่งรออยู่ที่เก้าอี้ ภีร์ภูมิเดินมานั่งรอที่เก้าอี้โดยหันหน้าออกไปอีกทาง
ภีร์ภูมิยกโทรศัพท์คุยหันไปทางบุษบัน
แต่บุษบันก้มลงเก็บซองยาที่ตกลงพื้นพอดี พนักงานถือช่อลิลลี่มาให้บุษบัน บุษบันจ่ายเงิน และลุกเดินไป
บุษบันเดินผ่านหน้าภีร์ภูมิ แต่พนักงานเดินมาส่งช่อลิลลี่ให้ภีร์ภูมิยืนบังตัวภีร์ภูมิไว้
บุษบันเปิดประตูร้านเดินออกไป ตามด้วยภีร์ภูมิ

ค่ำคืนนั้น พิมพิลาสนั่งอยู่ที่ห้องรับแขก ที่แขนยังมีผ้าพันแผลอยู่ ภีร์ภูมิแอบถือช่อลิลลี่ไว้ข้างหลังเดินเข้ามา พิมพิลาสเหลียวมามอง
ภีร์ภูมิยื่นช่อลิลลี่ให้ “เซอร์ไพรส์ ดอกไม้สวย ๆ สำหรับพิมครับ”
พิมพิลาสฝืนยิ้มรับลิลลี่ “ขอบคุณค่ะ” พูดต่อกึ่งขำกึ่งเศร้า
“พิมไม่สบายทีไร ภูมิก็ซื้อดอกไม้ให้พิมทุกครั้ง ภูมิเบื่อไหมคะ ที่ต้องคอยซื้อดอกไม้ให้พิมบ่อยๆ”
“ไม่เลยครับ ผมเต็มใจ”
“พิมยังเบื่อตัวเองเลย ป่วยออด ๆ แอด ๆ ตั้งแต่เล็กจนโต ใครจะ อยากมาอยู่ด้วย ใครอยากจะมีคนป่วยเป็นภาระไปทั้งชาติ จริงไหมคะ”
ภีร์ภูมิรู้ว่าพิมพิลาสพูดตัดพ้อถึงเรื่องแต่งงาน
“ผมไม่เคยเห็นว่าพิมเป็นภาระของผมเลยนะครับ ผมเต็มใจดูแลพิม ผมเต็มใจที่จะทำแบบนี้ไปตลอดชีวิตของผม”
พิมพิลาสน้ำตาคลอ
“เพราะภูมิรักพิมเหรอคะ” ภูมิอึ้ง “หรือเพราะมันเป็นหน้าที่”
ภีร์ภูมินิ่ง ชะงัก ไม่ตอบ
พิมพิลาสเจ็บแปลบในใจ แต่ฝืนยิ้ม ทำน้ำเสียงร่าเริง
“ช่างมันเถอะค่ะ จะเพราะอะไรพิมก็ขอบคุณอยู่ดี” พูดเสียงหวาน “ดึกแล้วพิมขึ้นไปนอนก่อนนะคะภูมิขับรถกลับดี ๆ นะคะ กู๊ดไนท์ค่ะ”
“กู๊ดไนท์ครับ”

พิมพิลาสลุกเดินออกไป ภีร์ภูมิมองตามอย่างสะเทือนใจ
พระจันทร์ดวงกลมโตลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า ทอแสงส่องเข้ามาภายในห้องนอนพิมพิลาส ซึ่งขณะนั้นกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ใบหน้ามีน้ำตาคลอๆ โดยมีป้าทิพย์เดินเข้ามา นั่งข้างๆ

“โธ่! อย่าคิดมากเลยนะคะ คุณหนูกับคุณภูมิคบกันมาตั้งหลายปี แปลว่าชาติที่แล้วต้องทำบุญร่วมกันมา คู่กันแล้วไม่แคล้วกันหรอกค่ะ”
“คู่ทำบุญหรือทำกรรมก็ไม่รู้นะคะป้า พิมว่า พิมคงเคยทำเวรทำกรรมเอาไว้เยอะ เกิดมาชาตินี้ถึงได้ทุกข์ทั้งร่างกายและจิตใจแบบนี้”
ป้าทิพย์ มองอย่างสงสาร “ไม่เอาแล้วค่ะคุณหนู...อย่าคิดมากนะคะ พักผ่อนเถอะค่ะ”
ป้าทิพย์จับตัวพิมพิลาสค่อย ๆ นอนลง ห่มผ้าให้ ก่อนจะลุกขึ้นไปปิดสวิทช์ไฟ สีหน้าพิมพิลาสยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องภีร์ภูมิ

เวลาตอนกลางคืน ภายในห้องปฏิบัติการที่ชั้นสามแกลลอรี่ของตะวันฉาย ในนั้นมีวัตถุโบราณหลากหลายชนิดวางอยู่ตามมุมต่าง ๆ ทั้งที่มีข้อมูลระบุไว้ และยังรอการพิสูจน์ หลายชิ้นเก็บไว้ในตู้ บางชิ้นสมบูรณ์ บางชิ้นไม่สมบูรณ์แตกต่างกันไป
กนิษฐากับตะวันฉายยืนมองก้อนดินนั้นอย่างพิเคราะห์
“ตกลงมันคืออะไร”
“เท่าที่ลองเคาะๆ ดู เหมือนจะมีโลหะอยู่ในนั้น”
“ทุบเลยไหม”
ตะวันฉายหยิบค้อนที่วางอยู่ข้าง ๆ จะทุบ
กนิษฐาร้องห้าม “อย่า”
ตะวันฉายฉงน “ทำไมล่ะ ก็จะได้รู้กันไป ว่าข้างในมีอะไร” พลางคว้าค้อนมา “ถอยไป”
กนิษฐาจับแขนตะวันฉายห้ามเอาไว้
“อย่า! ไม่เอา ไม่ได้ ถ้าเผื่อมันมีวัตถุทางโบราณคดีล่ะ คุณจะทำให้มันเสียหายหมดนะ”
“ไม่มีหรอกน่ะ ก็เธอบอกเอง ว่ามันไม่มีค่าอะไร”
“ก็ขอฉันตรวจก่อนซี”
“ไม่เอา ฉันอยากรู้ ทุบๆ ให้มันหมดเรื่องไป”
“เอ๊ะ ก็ฉันบอกว่าไม่ได้”
กนิษฐากับตะวันฉายแย่งยื้อค้อนกันไปมา ทั้งคู่ยื้อยุดกันจนชนโต๊ะ ก้อนดินดานตกลงพื้นแตกออก เศษดินกระจายไปทั่วบริเวณ
ตะวันฉายกับกนิษฐายืนมองหน้ากัน ตะวันฉายจ๋อย กนิษฐาโมโห
“นั่น เพราะคุณคนเดียว พังหมดแล้ว คุณนี่ไม่น่ามาทำงานเกี่ยวกับศิลปะเลยนะ น่าจะไปเป็นทหาร หรือไม่ก็เป็นผู้ก่อการร้าย ไปที่ไหน ทุกอย่างแหลกลาญหมด”
กนิษฐานั่งลงเก็บดินที่แตกไปตามพื้น ปากก็บ่นไปด้วย ตะวันฉายลงมาช่วยเก็บ เถียงไปด้วย
“เว่อร์ๆๆๆ ฉันไม่เห็นจะมีอะไรเสียหายเลย มีแต่เศษขี้ดิน หุบปากซะทีได้ไหม”
สีหน้ากนิษฐามองอะไรบางอย่างอยู่ ตะวันฉายเห็นว่ากนิษฐาเงียบ เลยถาม
“อ้าว เงียบเลย เอ๊ะ ปกติไม่เคยว่าง่ายอย่างนี้นี่นา”
กนิษฐาหยิบของบางอย่างขึ้นมา ตะวันฉายเข้ามามองด้วยความสนใจ
“อะไรน่ะ? เหมือนโซ่”
กนิษฐาถือตรวนขึ้นมาวางบนโต๊ะ
“ไม่ใช่ เค้าเรียกว่าตรวน”
กนิษฐาพูดจบก็หันไปใช้แปรงเขี่ยดินที่เกาะอยู่กับตรวนออก
“ตรวน! ที่เอาไว้จองจำนักโทษน่ะเหรอ” กนิษฐาพยักหน้า “ไหมล่ะอุตส่าห์ยกมาเมื่อยมือเปล่าๆ ไม่มีค่าอะไรเล้ย”
ตะวันฉายเซ็งท่าทีไม่สนใจ กำลังจะเดินออกไป กนิษฐาพูดขึ้น
“พูดผิดพูดใหม่ได้นะ”
ตะวันฉายชะงัก “ยังไง”
กนิษฐายิ้มให้ตะวันฉายพลางบอก “ตรวนอันนี้ทำจากทองคำ”
ตะวันฉายยืนอ้าปากค้าง

สองคนอยู่ที่บริเวณชั้นสามของแกลลอรี่ตะวันฉาย ตอนกลางคืน
กนิษฐาเอาตรวนวางที่เครื่องตรวจทอง ตะวันฉายดู และจับตรวนอย่างตื่นเต้น เครื่องตรวจขึ้นค่าเป็น 24K หรือเท่ากับ 99.99% แสดงว่าเป็นทองจริง
กนิษฐาร้อง “ทองแท้ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์!”
ตะวันฉายดีใจมาก “ตรวนทองคำ ทองเก่าสมัยอยุธยาซะด้วย โอ้พระเจ้า! งานนี้ฉันรวยเละแน่!”
ตะวันฉายเห็นก้อนดินดานที่แตกออกเป็นก้อนเล็กๆ ตกอยู่ที่พื้น จึงปราดไปหยิบมาดู
“ไหนลองดูสิ มีทองแอบซ่อนอยู่อีกรึเปล่า”
กนิษฐามองตะวันฉายอย่างหมั่นไส้ แล้วเดินเอาเครื่องตรวจทองไปเก็บ ปากก็พูดไป
“แปลกมากนะ สมัยนั้นทองเป็นของมีค่ามาก ไม่น่าเชื่อว่าจะมีใครเอาทองคำมาทำตรวน แล้วตรวนนี่มาอยู่ในน้ำได้ยังไง” เห็นตะวันเงียบก็แปลกใจ “นี่ คุณ ฟังฉันอยู่รึเปล่า”
ตะวันฉายตาค้าง ปากสั่น มือชี้ไปข้างหน้าพูดเสียงติดอ่าง
“เธอ...เธอ”
กนิษฐาแปลกใจ “อะไรคุณ”
สีหน้าตะวันฉายตกใจมาก “กะ..กะ..กระดูก...กระดูกผี”
ก้อนดินดานที่มือตะวัน เห็นเป็นเศษกระดูกข้อนิ้วมนุษย์ ตะวันฉายส่งให้ กนิษฐารับมา หยิบขึ้นมาดู แปลกใจ แต่ไม่ตกใจ
“กระดูกจริงๆ ด้วย”
“นี่ แม่คุณ เอาไปทิ้งไป มาถือชื่นชมอยู่ได้” ตะวันฉายบอก
“ทิ้งได้ไง คุณนี่ไม่รู้จักของดี” กนิษฐาตื่นเต้น “นี่มันกระดูกนิ้วมือชัดๆ” นัยน์ตาของกนิษฐาวาววับขณะพูดประโยคต่อมา “กระดูกนี้แหละที่จะบอกเราได้ ว่าตรวนทองคำนี่มันเป็นของใคร
กนิษฐาเขม้นมองกระดูกมืออยู่อย่างนั้น

เวลายามเช้าของวันใหม่ ภีร์ภูมิกำลังขับรถอยู่ ขับแล่นมาตามทางในละแวกท่าพระจันทร์ สักครู่มีเสียงยางระเบิดดังปัง! รถของภีร์ภูมิค่อย ๆ ชะลอ และจอดแน่นิ่ง ภีร์ภูมิเซ็ง ลงจากรถ แล้วกดโทรศัพท์หาไก่
“ไก่ รถฉันเสียอยู่แถวท่าพระจันทร์รีบมาดูหน่อย เร็วๆ เลย”
ภีร์ภูมิวางสาย มองไปรอบ ๆ เห็นร้านขายของเก่า ได้ยินเสียงดนตรีดังแว่วมาไกลๆ

ที่ร้านขายของเก่าในตรอกมหาธาตุ มีทั้งพระพุทธรูปเก่าๆ พระเครื่อง หนังสือเก่าหายาก เฟอร์นิเจอร์เก่า ของสะสมเก่า ๆ ฯลฯ เรียงรายกันอยู่
ขณะที่ภีร์ภูมิกำลังยืนรอไก่อยู่ เขาได้ยินเสียงดนตรีแว่วมา ภีร์ภูมินิ่งฟังรู้สึกคุ้นหูเหลือแสน จึงเดินตามเสียงมา
ภีร์ภูมิเดินเข้ามาที่ร้านที่ร้านขายของเก่า เดินตรงไปตามเสียงดนตรีไป ภีร์ภูมิเห็นกล่องดนตรีที่กำลังเล่นเพลงอยู่ เขามองอย่างสนใจ และชอบมาก รู้สึกผูกพัน หยิบขึ้นมาดู และตัดสินใจขอซื้อ
“กล่องดนตรีนี่เท่าไหร่ครับลุง”
“สามร้อยห้าสิบครับ” ลุงบอก
ภีร์ภูมิเอ่ยขึ้น “ผมขอซื้อได้ไหมครับ”
ทันใดนั้นบุษบันก็เข้ามาพอดี
“ฉันซื้อแล้ว”

ภีร์ภูมิหันหลังไปมองตามเสียง บุษบันเดินเข้ามา ทั้งคู่มองตากันอย่างเอาเรื่อง
เช้าวันต่อมาภีร์ภูมิแวะมาของที่ซื้อ กำลังเดินเข้ามาในแกลอรี่ ตะวันฉายเดินออกมาเห็นพอดีจึงเอ่ยทักทาย

“สวัสดีครับ คุณภูมิ…มาแต่เช้าเลยนะครับ ผมห่อแจกันให้เสร็จพอดีเลย รับรองแน่นหนาไม่แตกไม่หักแน่นอน”
“ขอบคุณครับ”
“เดี๋ยวผมให้เด็กยกไปที่รถเลยนะครับ”
“ครับ”
ตะวันกำลังจะเดินไปบอกลูกน้อง ภีร์ภูมิเรียกไว้
“เดี๋ยวครับคุณตะวัน”
ตะวันฉายหันมาหา “ครับ… สนใจดูชิ้นอีกเหรอครับ ตามสบายเลยนะครับ คิดว่าเป็นบ้านของตัวเอง”
ภีร์ภูมิมีท่าทีอึกอัก “คือ…ผมอยากเจอเพื่อนคุณ ที่เจอกันเมื่อวานน่ะครับ”
ตะวันฉายคิดๆ
“อ๋อ…ยัยบุษน่ะเหรอครับ”
“ครับ...ผมมีเรื่องจะถามคุณบุษน่ะครับ ไม่ทราบว่าจะติดต่อเธอได้ทีไหน?”

เวลาต่อมาบุษบันอยู่ในชุดหมี สวมแว่นกันสะเก็ดไฟกำลังตั้งใจเจียรปลายธนูอย่างตั้งใจ เสียงดังสนั่นอยู่ในห้องทำงานที่บ้าน สักครู่หนึ่ง ตั้มเดินเข้ามา
ตั้มตะโกนพูดสู้กับเสียงเจียร “พี่บุษมีลูกค้ามาหา”
บุษบันหยุดเจียรหันมาบอก “ให้เขาเข้ามาเลย… ขอฉันทำตรงนี้อีกแป๊บ”
ตั้มเดินออกไป
บุษบันหันไปเจียรปลายธนูต่ออีกครู่หนึ่งก็วางมือ แล้วถอดชุดหมี ถอดแว่น เตรียมไปต้อนรับลูกค้า แต่พอบุษบันหันมาเห็น ภีร์ภูมิยืนอยู่ตรงหน้าก็ตกใจ สองคนเปิดฉากเถียงกันทันที
“คุณ! เข้ามาบ้านฉันได้ยังไง”
“เอ้า…ก็คุณบอกให้ลูกน้องพาผมเข้ามา!” ภีร์ภูมิว่า
บุษบันโมโห “มาทางไหนออกไปทางนั้นเลยนะ”
“ยังไม่ทันพูดจากันเลยก็ไล่กันซะแล้ว! เห็นผมเป็นอะไรห๊ะ” ภีร์ภูมิชักของขึ้น
“เป็นโจรไง! สะกดรอยตามฉันมาถึงที่บ้าน จะมาขโมยอะไรฉันอีก!” “คำก็โจร สองคำก็โจร เดี๋ยวก็เป็นจริงให้ซะหรอก จะยกเค้าทั้งบ้านเลย!”
บุษบันบันคว้าเหล็กแหลมบริเวณนั้นขึ้นมาขู่
“อย่าเข้ามานะ…ออกไปจากบ้านฉันเดี่ยวนี้เลย!”
ภีร์ภูมิตกใจ ตาเหลือก “คุณ! ผมล้อเล่น! ทั้งหล่อทั้งเท่ห์แบบผมนี่นะเป็นโจร! คุณคิดเองเออเองตลอด!”
“แล้วมาทำอะไร?...ถ้าจะมาซื้อผลงานของฉัน ฉันไม่ขาย! คุณกลับไปได้เลย”
ภีร์ภูมิพูดจริงจัง “ผมมีธุระจะคุยกับคุณ”

อ่านละคร บ่วงวันวาร ตอนที่ 8/3 วันที่ 17 ม.ค. 56

ละคร บ่วงวันวาร บทประพันธ์-บทโทรทัศน์โดย : ฐา-นวดี สถิตยุทธการ
บ่วงวันวาร กำกับการแสดง : จาริวัฒน์ อุปการไชยพัฒน์
บ่วงวันวาร แนวละคร : ดราม่า
บ่วงวันวาร ผลิต : บ.เอ็กแซ็กท์ - บ. ซีเนริโอ
บ่วงวันวารอำนวยการผลิต : นิพนธ์ ผิวเณร และ ถกลเกียรติ วีรวรรณ
บ่วงวันวารออกอากาศ : พุธ - พฤหัส เวลา 20.15 - 21.45 น. (เพิ่มเวลาออกอากาศ เป็น 90 นาที)
ติดตามชม ละครเรื่อง บ่วงวันวารได้ทาง ททบ.5 เริ่มออกอากาศวันแรกเดือนมกราคม 2556
ที่มา manager