อ่านละคร บ่วงวันวาร ตอนที่ 4/3 วันที่ 6 ม.ค. 56

อ่านละคร บ่วงวันวาร ตอนที่ 4/3 วันที่ 6 ม.ค. 56

“น้อย..ข้าเป็นห่วงคุณพิศจริง” บัวเอ่ยขึ้น
“จะไปห่วงเขาทำไม”
“ก็รู้ๆ อยู่ คุณพิศคงไม่ยอมให้เรื่องคุณฉัตรจบลงง่ายๆ หรอก เรื่องมันออกจะใหญ่โตปานนั้น”
“แต่เราเป็นแค่ทาส เราจะไปทำอะไรได้ล่ะบัว ก็ที่ต้องมาทำงานกลางแจ้งจนจะหน้ามืดกันอยู่อย่างนี้ ไม่ใช่เพราะเราเป็นทาสเขาหรอกรึ”
บัวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ถอนใจยาว แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป สักครู่น้อยก็เดินแยกออกไปทำอีกทางหนึ่ง ห่างออกไปจากบัว

ขณะที่น้อยยกมือขึ้นปาดเหงื่อ แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อจู่ๆ ก็มีมือใคนคนหนึ่งยื่นน้ำมาให้ น้อยหันไปมอง ที่แท้เป็นเพียร

“เอ้า..น้ำ..กินเสียก่อนเอ็งจะเป็นลมกลางแดด”
น้อยเมิน เพียรตามตื๊อ
“เอ็งจะไม่ยอมหายโกรธข้าเรื่องที่ข้าเฆี่ยนนังบัวก็ตามใจเถอะ แต่เอ็งอย่าทรมานตัวเองเลย ประเดี๋ยวเอ็งจะตายเสียก่อนได้อยู่จนแก่”
“แต่ถ้าตายเสียแต่เนิ่นๆ ข้าก็จะได้เป็นอิสระจากการเป็นทาสเสียที”



ระหว่างนั้นมีสายตาของใครคนหนึ่ง มองน้อยที่ยืนคุยอยู่กับเพียร ก่อนจะละสายตามองไปทางบัว ที่ยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่อย่างขะมักเขม้นอีกมุมไกลๆ โดยไม่สนใจใคร

ขณะที่บัวกำลังปาดเหงื่อ แต่แล้วจู่ๆ ก็มีใครคนหนึ่งมาฉุดแขนไป บัวตกใจจะร้อง แต่คนๆนั้นเอามือปิดปากบัวไว้ได้ทัน บัวมองหน้า เห็นเป็นฉัตรก็ตกใจ ฉัตรดึงตัวบัวออกไปทางหนึ่ง

ฉัตรลากตัวบัวมา พอลับตาคนก็ปล่อยบัวเป็นอิสระ
“ทำไมท่านถึงทำอะไรเสี่ยงอย่างนี้ มันอันตรายมากรู้มั้ยเจ้าคะ”
“ถ้าไม่เสี่ยงเข้ามา จะได้พบเจ้าหรือ” ฉัตรครวญ
“แต่เราไม่ควรจะมาพบกันอีก ถ้าคุณพิศเธอรู้เข้าจะเกิดเรื่องใหญ่ แค่นี้เรือนก็จะลุกเป็นไฟอยู่แล้วนะเจ้าคะท่านกลับไปเสียเถอะ ก่อนที่จะมีใครมาเห็นเข้า”
บัวผลักไสฉัตร แต่ฉัตรไม่ยอม รวบมือไว้ บัวดึงมือออกจนได้แล้วเดินหนี ฉัตรรีบตามติด

ขณะเดียวกันพิศนั่งมองเงาตัวเองในกระจกที่โต๊ะเครื่องแป้ง สีหน้าแค้นใจสุดขีด
“ฉันอยากรู้นักว่าไอ้อีเรือนไหนรึคือคนที่คุณฉัตรรักใคร่ ชอบพอ..มันเป็นใคร ! มันถึงจะดีไปกว่าข้า”
พิศกำมือแน่นด้วยความแค้นใจ
นางด้วงประคองถาดสำรับกับข้าวเอาเข้ามาให้พิศถึงในห้อง หมายจะเอาใจ
“คุณพิศเจ้าขา..บ่าวให้นังพุ่มมันต้มข้าวต้ม แล้วก็ทอดปลาสลิดร้อนๆ น่ากินเชียวเจ้าค่ะ ของโปรดของคุณพิศไงเจ้าคะ”
นางด้วงเอาถาดสำรับอาหารวางลงใกล้ตัวพิศ แต่พิศเอามือปัดถาดอย่างไม่สนใจว่าอะไรจะแตกบ้าง นางด้วงตกใจจนต้องกระโดดหนี ไปยืนตัวซีดตัวสั่นด้วยความกลัวอารมณ์พิศอยู่ที่ข้างประตู
“ถ้าข้ารู้ว่าไอ้อีหน้าไหนคือคนที่บังอาจแย่งชิงคุณฉัตรไปจากข้า ข้ากับมัน..ก็เห็นทีจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้อีกต่อไป”
พิศคำรามในลำคอ สีหน้าแค้นใจจนแทบจะกระอักเป็นเลือดออกมาเลยทีเดียว

ทางด้านฉัตรตามมาดึงมือบัวไว้
“แม่บัว..เจ้าอย่าเดินหนีฉันอย่างนี้สิ รู้มั้ยว่าฉันยอมเสี่ยงทุกอย่างเพียงแค่จะได้มาเห็นหน้าเจ้า เสี่ยงแม้กระทั่งคนเรือนฉันกับคนเรือนนี้ อาจต้องแตกหักกันเพราะฉันไม่อาจปลงใจแต่งงานกับแม่พิศได้ เพราะฉันไม่ได้รักแม่พิศเลย”
บัวแกล้งถาม “แล้วท่านรักใครหรือเจ้าคะ”
“ก็เจ้าไง ไม่เช่นนั้นฉันจะกล้าเสี่ยงมาพบเจ้าถึงสองครั้งสองคราอย่างนี้รึ”
บัวยิ้มดีใจ ฉัตรมองหน้าบัวนิ่ง ยกมือขึ้นลูบแก้มบัวเบาๆ อย่างทะนุถนอม
“เจ้าทำงานกลางแจ้งจนถูกแดดเผาไปทั้งตัว สงสารเจ้าเสียเหลือเกิน”
ฉัตรบรรจงจูบที่หน้าผากบัว เพื่อจะให้กำลังใจ บัวก้มหน้ายิ้มเอียงอาย ใจพองโต ฉัตรคิดอะไรขึ้นมาได้ ล้วงหยิบเอาบางอย่างออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งให้บัว
ที่แท้ของที่ฉัตรหยิบออกมา เห็นเป็นกล่องดนตรี
“ฉันเห็นเจ้าชอบกล่องดนตรีจากรุสเซียนี่นัก จึงเอามาฝาก”
“ท่านให้ฉันจริงๆ รึ”
ฉัตรพยักหน้า “เก็บกล่องดนตรีนี้ให้ดีนะ ให้มันเป็นเสมือนตัวแทนของฉันที่อยู่กับตัวเจ้าตลอดเวลา แล้วหากวันไหนที่เจ้าเกิดทุกข์ใจ ก็ให้ไขฟังเสียงดนตรีเล่น และให้เจ้าคิดเสียงว่าเสียงดนตรีที่ได้ยินคือเสียงของฉันที่กำลังพูดปลอบประโลมใจเจ้าให้คลายทุกข์ยังไงล่ะ”
บัวยกมือไหว้ฉัตรอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”
“แม่บัว หลังจากนี้ฉันอาจจะมาหาเจ้าไม่ได้อีก จนกว่าจะสะสางเรื่องคุณพิศเสร็จสิ้น เพราะฉันไม่อยากให้ใครรู้เรื่องแล้วเจ้าจะเป็นอันตราย”
บัวยิ้มปลื้มใจ จังหวะนั้นฉัตรตัดสินใจขโมยจูบที่แก้มบัวอย่างแผ่วเบา บัวตกใจ แต่ยังไม่ทันจะทำอะไรต่อ ฉัตรก็วิ่งหนีไปอย่างเงียบเชียบและรวดเร็วเช่นขามา

ปล่อยให้บัวยืนลูบแก้มข้างที่ถูกจูบอยู่คนเดียวด้วยใจระทึก
ขณะที่บัวเดินลูบแก้มข้างที่ถูกฉัตรจูบกลับมาที่เดิม เจอน้อยกำลังมองหาอยู่ด้วยความร้อนใจ พอน้อยเห็นบัวก็รีบเข้ามาถาม

“เอ็งไปไหนมาน่ะ”
บัวย้อนถาม “แล้วเอ็งล่ะไปไหนมา”
“ข้าไปทำงานอยู่ทางโน้น เจอไอ้เพียรด้วย กว่าจะไล่มันไปได้ ข้าละอ่อนใจกับมัน ชังน้ำหน้ามัน ตกลงว่าเอ็งไปไหนมา ยังไม่ตอบข้าเลย”
บัวเหลียวซ้ายแลขวา เห็นไม่มีใครอยู่ในสายตา ก็ยกกล่องดนตรีในมือให้น้อยดู
น้อยเห็นกล่องดนตรีในมือบัว
น้อยตาโต “อะไรน่ะ”
“เขาเรียก ‘กล่องดนตรี’ มาจากรุสเซีย”
ว่าแล้วบัวก็ไขกล่องดนตรีให้น้อยดูเป็นตัวอย่าง สักครู่ก็มีเสียงเพลงดังออกมา น้อยมีสีหน้าตื่นเต้นมาก
“เอ็งเอามาจากไหน”
“คุณฉัตรให้มา” บัวบอกยิ้มๆ
น้อยตกใจอุทานเสียงดัง “คุณฉัตร” แล้วนึกได้รีบเหลียวมองหาทันที “เขามาหาเอ็งถึงที่นี่เลยรึ”
บัวพยักหน้าแทนคำตอบแล้วยิ้มปลื้มใจ

เวลาเดียวกันนางด้วงถือถาดใส่สำรับแตกๆ เพราะฝีมือพิศกลับเข้ามาที่โรงครัว เอามากระแทกวางลงกลางโรงครัว แล้วบ่นอย่างสุดเซ็ง
“ไม่มีเหลือ คุณพิศเธอไม่ยอมกินอะไรอีกตามเคย ไม่ว่าจะสรรหาของดีเด่แค่ไหนขึ้นไปประเคนให้ คุณเธอก็ไม่กินสักอย่าง..เฮ้อ” นางด้วงมองของแตกๆ หักๆ ในสำรับอย่างแสนเสียดาย
นางแดงแทรกขึ้น “ก็เกิดเรื่องน่าอับอายขายหน้าเสียขนาดนี้ รู้ถึงไหนอายคนเขาถึงนั่น เป็นข้า..ข้าก็คงกินอะไรไม่ลงเหมือนกันแหละว้า”
“เวลานี้ใครก็เข้าหน้าคุณพิศเธอไม่ติดเลย แม้แต่ท่านเจ้าคุณ นี่ข้าก็ต้องคอยหลบหลีกให้ดีๆ ไม่งั้นมีหวังได้หัวร้างข้างแตกเข้าบ้างหรอก” นางด้วงตัดบท “ไปละ เผื่อคุณพิศเธอเกิดอยากจะเรียกหาขึ้นมาแล้วไม่เจอ ข้าจะโชคร้ายหนักกว่าเดิม อูย…”
นางด้วงเอามือแตะแผลที่ปากที่ได้มาจากการตบกับบ่าวของชื่น หน้าเหยเกเพราะยังเจ็บไม่หาย แล้วเดินออกจากโรงครัวไป

นางด้วงเดินกุมปากที่เป็นแผล บ่นกระปอดกระแปดมาคนเดียวมาตลอดทาง แล้วมองไปที่กลางแจ้ง เห็นบัวกับน้อยยืนคุยกันอยู่ นางด้วงตัดสินใจเดินไปหาสองคนทันที

นางด้วงเดินตรงมาที่บัวกับน้อย สองคนยังไม่ทันเห็นเพราะยังมัวแต่สนใจกล่องดนตรีกันอยู่
“เอ็งก็ต้องระวังตัวให้ดี อย่าให้คุณพิศรู้เรื่องได้ล่ะ ถ้าคุณพิศรู้เรื่อง..มีหวังเล่นงานเอ็งถึงตายแน่”
บัวพยักหน้าเห็นด้วย แล้วจะไขลานฟังเสียงเพลงอีก น้อยหันไปเห็นนางด้วงเดินมาแต่ไกลพอดี
“พี่ด้วงมา บัว เอ็งเอากล่องดนตรีซ่อนเร็ว”
บัวหันซ้ายหันขวา แล้วตัดสินใจเอากล่องดนตรีนั้นยัดลงในพุ่มไม้ใกล้ๆ
น้อยช่วยเอาหญ้าแถวนั้นกลบๆ ไม่ให้เห็น พอดีนางด้วงเดินเข้ามาถึงตัว
“นังน้อย..เอ็งมียาอะไรให้ข้าทาแผลที่ปากนี่บ้างมั้ย”
นางด้วงพูดกับน้อยแต่ตามองบัว นางด้วงเห็นบัวมีสีหน้าท่าทางส่อพิรุธ เพราะเก็บอาการไม่เก่ง
“เอ็งเป็นอะไรน่ะนังบัว ท่าทางชอบก๊ล” นางด้วงจ้องหน้าจับกิริยา
น้อยรีบแก้ไขสถานการณ์ “บัวมันจะมีอะไร้พี่ด้วง..มันก็ เงอะๆ งะๆ ไปตามประสามันนั่นแหละ ไปๆพี่ด้วง ไปที่เรือนข้าเถอะ ข้าจะเอายาให้”
น้อยพยายามลากแขนด้วงออกไปให้ห่างจากบัว แต่นางด้วงไม่ยอมไป สะบัดแขนออกจากน้อย
“ข้ายังไม่ไป ข้าสงสัยนังบัวมันจะซ่อนอะไรไว้ มันถึงได้หน้าตาเลิ่กลั่กขนาดนั้น ไหน เอ็งซ่อนอะไรไว้ บอกข้ามาเดี๋ยวนี้”
บัวหน้าเสีย “ข้าไม่ได้ซ่อนอะไร”
“แล้วเอ็งนั่งตรงนั้นทำไม”
บัวหน้าเสียหนักขึ้น น้อยคิดอะไรได้ เลยจิกหญ้าใกล้ๆ ตัวบัวขึ้นมากำหนึ่งแล้วชูให้ นางด้วงดู

“ก็...ข้าเห็นหญ้ากอนี้ มันเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งเอาไว้พอกแผลได้ ข้าก็เลยให้บัวมันมาช่วยกันเก็บเอาไว้ใช้ต้มยาน่ะสิ”
นางด้วง มองอย่างไม่เชื่อ “ข้าไม่เชื่อ ไหน...เอาหญ้ามาให้ข้าดูสิ”
น้อยส่งหญ้าในกำมือให้ดู
นางด้วงมองแล้วว่า “ข้าก็ว่ามันก็หญ้าดาดๆ นี่แหละว้า”
“พี่ด้วงไม่เชื่อข้า..หมอยาสมุนไพรรึ”
นางด้วงนิ่งไปทันที รู้ดีว่าน้อยเก่งเรื่องสมุนไพรจริงๆ นางด้วงมองหญ้าในมือน้อย
“เอาพอกให้ปากข้าหายตึงหายเจ็บได้มั้ยเนี่ย”
น้อยตามน้ำ “ได้ ดีเลยละพี่ด้วง ถ้าเช่นนั้นกลับไปที่เรือนข้าด้วยกันเลย”
“แล้วงานตรงนี้เอ็งเสร็จแล้วรึ”
“จ้ะ” น้อยขยับจะพานางด้วงเดินไป
แต่นางด้วงไม่ยอมเดิน ยังหันมามองดูบัวที่ยังนั่งอยู่ที่พื้นหญ้าอยู่
“เอ้า จะนั่งบื้อใบ้อยู่ทำไมล่ะนังบัว กลับเรือนด้วยกันเลยสิ”

บัวเหลือบตามองไปที่ซ่อนกล่องดนตรีแวบหนึ่ง แล้วลุกขึ้นเดินตามน้อยและนางด้วงไป โดยทิ้งกล่องดนตรีไว้ในพุ่มไม้นั่นเอง
ตกตอนเย็นฉายมีสีหน้าตกใจมากพอฟังพี่ชายเล่าจบ เขาถามเสียงดัง

“พี่ฉัตรลักลอบเข้าไปที่เรือนท่านเจ้าคุณสมานมาอีกรึขอรับ”
ฉัตรรีบจุ๊ปาก “ชู่ว ! อย่าเอะอะไปสิฉาย แค่นี้ก็มีแต่เรื่องให้ปวดหัว ต้องแก้ปัญหาไม่รู้จบมากพออยู่แล้ว” ฉัตรเหลียวซ้ายแลขวาแล้วค่อยบอก “พี่ไปพบแม่บัวมา”
“โอ๊ย..นี่ถ้าคุณพิศรู้เข้า เป็นเรื่องใหญ่แน่”
“แม่พิศไม่รู้หรอก และก็ไม่มีวันจะรู้ด้วย แล้วนี่...เจ้าคุณพ่ออยู่ที่ไหน”

ขณะนั้นพระยาโกสินทร์ยืนคิดอะไรอยู่ที่ริมหน้าต่าง สีหน้าเคร่งเครียด พอฉัตรเดินเข้าไป ท่านเจ้าคุณก็พูดขึ้นโดยไม่หันหน้ามา
“เรื่องของเจ้ากับแม่พิศไปถึงหูหม่อมจรัสแล้ว อีกไม่นานก็คงจะรู้กันทั่วพระนคร”
ฉัตรหน้าเครียดขึ้นมาทันที ทรุดลงคุกเข่าแล้วกราบที่เท้าพ่อ
“แต่กระผมไม่อาจฝืนใจแต่งงานกับแม่พิศได้จริงๆ ขอรับเจ้าคุณพ่อ”
พระยาโกสินทร์ถอนใจเฮือกใหญ่ “เพราะพ่อเห็นแก่ความสุขชั่วชีวิตของเจ้าหรอกนะ หากว่าเจ้าจะไม่มีความสุขเพราะต้องแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก พ่อคงตายตายไม่หลับ และคงไม่มีหน้าไปพบแม่เจ้าบนสวรรค์โน่นด้วย”

พระยาโกสินทร์หันมามองบุตรชายคนโตของท่าน
“พรุ่งนี้พ่อจะไปพบท่านเจ้าคุณสมานอีกครั้ง แต่คราวนี้เห็นจะไปเจรจาปากเปล่าไม่ได้แล้ว”
ฉัตรกราบพ่อด้วยความซาบซึ้งใจอีกครั้ง

ด้านฉายยืนรอฉัตรด้วยท่าทางกระวนกระวาย แอนนามองอย่างสงสัย
“คุณฉัตรเขามีเรื่องอะไรนักหนาหรือฉาย”
“เรื่องส่วนตัวน่ะแอนนา”
แอนนาค้อนขวับ “แอนนาไม่ยุ่งก็ได้” แหม่มฝรั่งเปลี่ยนเรื่องคุย “ฉาย..พาแอนนาไปเที่ยวหน่อยสิ แอนนาเบื่ออยู่บ้านเฉยๆ น่ะ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ฉายไม่เคยพาแอนนาไปไหนเลย”
“ก็ถ้าแอนนาไม่อยากอยู่เฉยๆ แอนนาก็ควรจะหัดเรียนรู้ชีวิตแบบไทยๆ หัดทำอาหารไทยก็ได้นี่” ฉัตรแนะนำภรรยา
แต่แอนนาทำหน้าเบ้ “แต่แอนนาเหม็นครัวไทยนี่ ทั้งกะปิ น้ำปลา โอ๊ย..ไม่ไหวละฉาย เหม็นจะตาย”
“แต่แอนนาเป็นภรรยาของฉันซึ่งเป็นคนไทยนะ แอนนาควรจะเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างไทยๆ”
“ก็แล้วทำไมฉายไม่ไปอยู่กับแอนนาที่รุสเซียล่ะ”
ฉายชักฉุน “ไม่ ฉันบอกแอนนากี่ครั้งแล้วว่า...ฉันเป็นคนไทย ฉันต้องอยู่บนผืนแผ่นดินไทย” ฉายยกมือไหว้ “และรับใช้พระพุทธเจ้าหลวงจนกว่าชีวิตจะหาไม่”
แอนนามีสีหน้าฮึดฮัดขัดใจ แล้วก็สะบัดตัวเดินกลับเข้าห้องไป ฉายมองตามแล้วถอนใจด้วยความกลัดกลุ้ม

คืนนั้นบัวกับน้อยนอนอยู่ด้วยกันที่เรือนทาส สักครู่บัวก็ลุกขึ้นมองดูเห็นน้อยเห็นยังหลับอยู่ บัวค่อยๆ เดินไปที่ประตูเรือนแล้วย่องออกไปเงียบๆ

ขณะเดียวกันพิศซึ่งกำลังนอนหลับอยู่บนเรือน โดยมีนางด้วงนอนเฝ้าที่หน้าเตียงอย่างเคย พิศคิ้วขมวดอย่างคนฝันร้าย

พิศฝันเห็นตอนที่ทะเลาะกับชื่นที่ห้องเครื่องของหม่อมจรัส
“ตราบใดที่หล่อนยังไม่ได้เห็นขบวนแห่ขันหมากละก็ หล่อนอย่าเพิ่งแน่ใจไปนักเลย ไม่เคยได้ยินคำว่า ‘หม้ายขันหมาก’ รึ”

ใบหน้าชื่นบิดเบี้ยว เหมือนกับล้อเลียนเยาะเย้ยพิศ
เสียงชื่นดังก้องในหัวพิศซ้ำๆ กันอยู่อย่างนั้น
“หม้ายขันหมาก! หม้ายขันหมาก! หม้ายขันหมาก!”

พิศสะดุ้งตื่นลุกพรวดขึ้นมานั่งหอบอยู่บนที่นอนหน้าเครียด แล้วเลยลุกเดินลงจากเตียงไปโดยที่นางด้วงยังนอนหลับไม่รู้เรื่องเลย

เวลาเดียวกันบัวถือตะเกียงเดินเหลียวซ้ายแลขวาดูว่ามีใครเห็นหรือไม่ตรงมาที่ซ่อนกล่องดนตรีเอาไว้ พอถึงที่ซ่อน บัวก็ลงนั่ง วางตะเกียง แล้วล้วงหยิบเอากล่องดนตรีออกมา พอเห็นว่ามันยังอยู่ในสภาพปกติดีอยู่ บัวก็ยิ้ม เหลียวซ้ายแลขวาอีกที แล้วค่อยๆไขลานอย่างช้าๆ
เสียงดนตรีจากกล่องดนตรีดังขึ้นกรุ๋งกริ๋ง บัวฟังแล้วยิ้มอย่างมีความสุข

พิศซึ่งนอนไม่หลับ ออกมาเดินรับลมเล่น แล้วทอดสายตามองไปนอกเรือน พิศเห็นบัวกำลังทำท่าแปลกๆ อยู่ที่ลานหน้าเรือนทาส
พิศเดินลงจากเรือนพุ่งตรงเข้าไปที่บัวทันที

เพลงที่กล่องดนตรีจบลงพอดี บัวกำลังจะไขฟังอีกรอบ พอดีพิศเดินพรวดเข้ามา บัวตกใจรีบเหวี่ยงกล่องดนตรีไปที่พงหญ้าทันที
“เอ็งทำอะไรน่ะนังบัว” พิศถาม
“เอ้อ..เปล่าเจ้าค่ะ”
“แต่ข้าเห็นเอ็งถืออะไรอยู่เมื่อครู่”
พิศเดินพรวดไปแถวบริเวณที่บัวเหวี่ยงกล่องดนตรีทิ้งไป กวาดตามองหา
“บ่าวไม่ได้ถืออะไรเจ้าค่ะ”
“เอ็งอย่ามาโกหกข้า ข้าเห็น เอ็งถืออะไร” พิศถามเสียงดัง
พิศกวาดตามองหาไม่ยอมแพ้ บัวกลัวจนตัวสั่น ทำอะไรไม่ถูก
เท้าของพิศเดินเฉียดใกล้จนเกือบเหยียบกล่องดนตรี แต่ด้วยความทั้งที่มืดและหญ้าสูง พิศจึงมองไม่เห็น
บัวตัวสั่นด้วยความกลัว “บ่าวไม่ได้ถืออะไรจริงๆ เจ้าค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นเอ็งมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ ค่ำๆ มืดๆ”
“คือ..บ่าว..เอ้อ...” บัวโกหกไม่เก่งจึงคิดไม่ทัน
พิศจ้องหน้าบัวอย่างจับผิด “บอกมา เอ็งมาทำอะไรตรงนี้ หรือว่าเอ็งมาลักลอบนัดพบกับใครอีก”
บัวตอบไม่ถูก ขาอ่อนจนต้องทรุดตัวลงนั่ง พนมมือไหว้พิศ ปากคอสั่น
พิศตะคอก “บอกมา”
จังหวะนั้นยินเสียงน้อยดังแทรกขึ้น “บ่าวสั่งให้มันมาเก็บหญ้าสมุนไพรเจ้าค่ะ”
บัวกับพิศหันไปดู เห็นน้อยเดินเข้ามา
พิศไม่เชื่อ “แล้วทำไมเอ็งต้องให้นังบัวมันมาเก็บตอนดึกๆ อย่างนี้ด้วย”
น้อยเก่งนักเรื่องโกหกเอาตัวรอด “ความจริงบ่าวสั่งมันตั้งแต่กลางวัน แต่มันคงลืมน่ะเจ้าค่ะ” พลางหันมาทางบัว “เอ็งก็เลยมาเก็บเอาตอนนี้ใช่มั้ยบัว” พร้อมกันนั้นน้อยจิกตาใส่บัวให้บัวรับลูก
“เอ้อ..ใช่ ใช่เจ้าค่ะ”
พิศหรี่ตามองอย่างไม่เชื่อ จังหวะนั้นนางด้วงวิ่งตามเข้ามาอีกคน
“คุณพิศเจ้าขา..ลงมาทำอะไรตรงนี้เจ้าคะ บ่าวตื่นมาไม่เห็นคุณพิศ บ่าวตกใจหมดเลย” หันมามองบัวกับน้อย “อ้าว..นังน้อย นังบัว มาทำอะไรกันตรงนี้ มาเก็บหญ้าสมุนไพรกันอีกรึ”

พิศมีสีหน้าฉงนขึ้นมาทันที
สองบ่าวนายกลับขึ้นเรือนแล้ว นางด้วงยังคงเล่าต่อ

“แถวนั้นมีหญ้าสมุนไพรจริงๆ เจ้าค่ะคุณพิศ เมื่อเย็นนังน้อยมันยังเก็บเอามาตำยา..ให้บ่าวพอกแผลที่ปากนี่เลยเจ้าค่ะ” ชี้แผลที่มุมปากให้พิศดู “เพิ่งพอกเมื่อเย็นนี้เอง เลยยังไม่ค่อยเห็นผล เอ้อ ว่าแต่คุณพิศไปเดินทำไมแถวนั้นรึเจ้าคะ”
“ข้านอนไม่หลับ” พิศคิดถึงเรื่องฉัตรขึ้นมาอีก “นังด้วง เอ็งไปสืบให้ข้าทีสิว่าคุณฉัตรเธอไปรักใคร่ชอบพอกับไอ้อีที่เรือนไหน ข้าอยากรู้นักว่าในพระนครนี้..ใครมันจะดีไปกว่าข้า”
พิศตาลุกวาวด้วยความโกรธแค้น

บัวยังหน้าซีดเผือดด้วยความกลัวที่พิศเกือบจะจับได้ น้อยบ่นอุบ
“เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ นี่ถ้าคุณพิศเธอเจอเอ็งกับกล่องดนตรีของคุณฉัตรเข้าละก็ ความแตกแน่ๆ”
“ก็ข้าไม่อยากทิ้งกล่องดนตรีเอาไว้ที่นั่นนี่นา ข้ากลัวใครไปพบเข้า”
“เอาเถอะๆ พรุ่งนี้เช้าตอนเราออกไปทำงาน ค่อยไปเก็บมันก็แล้วกัน นอนต่อเถอะ” น้อยล้มตัวลงนอนต่อ

บัวนอนไม่หลับแล้ว ห่วงแต่กล่องดนตรี

เวลาเดียวกันมือของใครคนหนึ่งเอื้อมไปเก็บกล่องดนตรีที่ซุกอยู่ในพงหญ้า ที่แท้เจ้าของมือนั้นคือไอ้เพียรนั่นเอง เพียรมองดูกล่องดนตรีในมือ สีหน้าครุ่นคิด

รุ่งเช้าบัวกับน้อยที่กำลังก้มๆ เงยๆ หากล่องดนตรีกันยกใหญ่ แต่หาเท่าไหร่ๆก็หาไม่เจอ บัวหน้าเสีย
“ข้าโยนเอาไว้แถวนี้จริงๆ นะน้อย”
“แต่นี่เราก็เดินหาแถวนี้ไม่รู้กี่รอบแล้วนะบัว เอ็งจำไม่ผิดแน่นะ”
“จะผิดได้ยังไง นี่ไงโพรงไม้ที่ข้าเอากล่องดนตรีซ่อนพี่ด้วง พอข้าเอาขึ้นมาจากโพรง ข้าก็ไขฟัง พอคุณพิศเธอมา ข้าก็โยนไปทางโน้น ลองหาดูอีกทีเถอะน้อย มันต้องอยู่แถวนี้แน่ๆ”
บัวกับน้อยก้มๆเงยๆช่วยกันหากล่องดนตรีต่อ แต่หาเท่าไหร่ๆก็หาไม่เจอ แล้วน้อยก็มองไปเห็น รถของพระยาโกสินทร์แล่นตรงมาที่เรือนของพระยาสมาน
“บัว..นั่นท่านเจ้าคุณโกสินทร์ เจ้าคุณพ่อของคุณฉัตรนี่”
บัวชะงัก รีบชะเง้อดู
“มาทำไมแต่เช้าเลย”

นายสนกับบ่าวชายอีกคน ยกกำปั่นหนักๆ มาวางลงตรงหน้าพระยาสมาน ท่านเจ้าคุณมองอย่างสนใจ แต่ยังไว้ท่า พระยาโกสินทร์พยักหน้าให้สัญญาณให้นายสนเปิดกำปั่นออกให้พระยาสมานดู
ภายในกำปั่น เห็นเป็นอัฐมากมาย พระยาสมานตาโตด้วยความตื่นเต้น แต่ก็ยังไว้ท่าอยู่ ไม่พยายามออกอาการ
“กระผมไม่อ้อมค้อมละ ของทั้งหมดในกำปั่นนี้...กระผมนำมามอบให้ท่านเจ้าคุณและแม่พิศ เพื่อชดใช้การยกเลิกการทาบทามแม่พิศให้กับพ่อฉัตรลูกชายของกระผม”
พระยาสมานมองกำปั่นแล้วนิ่งคิด

อ่านละคร บ่วงวันวาร ตอนที่ 4/3 วันที่ 6 ม.ค. 56

ละคร บ่วงวันวาร บทประพันธ์-บทโทรทัศน์โดย : ฐา-นวดี สถิตยุทธการ
บ่วงวันวาร กำกับการแสดง : จาริวัฒน์ อุปการไชยพัฒน์
บ่วงวันวาร แนวละคร : ดราม่า
บ่วงวันวาร ผลิต : บ.เอ็กแซ็กท์ - บ. ซีเนริโอ
บ่วงวันวารอำนวยการผลิต : นิพนธ์ ผิวเณร และ ถกลเกียรติ วีรวรรณ
บ่วงวันวารออกอากาศ : พุธ - พฤหัส เวลา 20.15 - 21.45 น. (เพิ่มเวลาออกอากาศ เป็น 90 นาที)
ติดตามชม ละครเรื่อง บ่วงวันวารได้ทาง ททบ.5 เริ่มออกอากาศวันแรกเดือนมกราคม 2556
ที่มา manager