อ่านละคร บ่วงรัก ตอนที่ 1 วันที่ 25 ต.ค. 55

อ่านละคร บ่วงรัก ตอนที่ 1 วันที่ 25 ต.ค. 55

เช้าวันนั้น เสียงเพลงคลาสสิคของโมสาร์ท ท่วงทำนองหวานนุ่มนวลและเนิบช้า ฟังดูมีรสนิยมสูง ดังแว่วขึ้นที่ถนนหน้าบ้านธานินทร์ พร้อมๆ กับรถตู้คันหนึ่งแล่นมาชะลอที่ประตูรั้ว สักครู่หนึ่ง ประตูรั้วลวดลายวิจิตรเปิดออก ให้รถตู้คันนั้นแล่นเข้าไปภายใน เผยให้เห็นคฤหาสน์ “เลิศชัยวัฒน์” อันใหญ่โต โอฬาร และตระการตา

รถตู้คันดังกล่าวแล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าคฤหาสน์ ประตูรถเปิดออก ชายหนุ่ม 3 คน ก้าวลงจากรถ ในมือแต่ละคนมีกระเป๋าสัมภาระเป็นโลหะ และสิ่งของอีกหลายอย่างลงมาด้วย เรืองโรจน์ ผู้ช่วยเลขาของธานินทร์ และหน่อย สาวใช้ของบ้านเลิศชัยวัฒน์ พากันมาที่รถ

“เชิญครับ ทางนี้เลย” เรืองโรจน์เชื้อเชิญ พร้อมกับหันไปสั่งหน่อย “หน่อย เดี๋ยวไปเรียนคุณผู้หญิงนะ ว่าช่างภาพมากันแล้ว แล้วก็เอาน้ำมาให้แขกด้วย”
หน่อยกุลีกุจอ “ค่ะ คุณเรืองโรจน์” วิ่งเข้าบ้านไป
เรืองโรจน์หันมาหาบรรดาช่างภาพ “ทางนี้ครับ” ก่อนจะเดินนำไปทางประตูหลังบ้าน
ช่างภาพตามเรืองโรจน์ไป
ไม่นานนักช่างภาพ และทีมงาน พากันติดตั้งอุปกรณ์ถ่ายภาพ อย่างคล่องแคล่ว เยี่ยงมืออาชีพ



อังคณา หญิงวัยกลางคนแต่ยังคงสวยสง่า สมฐานะคุณผู้หญิงของบ้าน แต่งตัวสวยเฉิดฉาย เดินมาตามทางเดิน ลงบันไดมาที่โถงชั้นล่าง โดยมีแหวว สาวใช้ เดินประคองขนมิงค์ตามหลังมา
เสียงอังคณาแหว “ถือดีๆ นะแหวว...นี่มันแพงนะ จะบอกให้”
“ค่ะ คุณผู้หญิง”
อังคณาดูนาฬิกาที่ข้อมือ แล้วนึกได้ “แล้วคุณผู้ชายล่ะ”
“ตะกี๊เห็นอยู่ในครัวค่ะ” แหววว่า
“ในครัว” อังคณาขมวดคิ้ว นิ่วหน้าทันที

ธานินทร์ ชายวัยห้าสิบเศษ กำลังยืนอยู่หน้าเครื่องปั่นผลไม้ พร้อมกับผลไม้และผักจำนวนหนึ่ง ใกล้ๆ กันนั้น มี ทองดี วัยหกสิบ กับสำรวย อายุยี่สิบเศษ ๆ แม่ครัวและลูกมือ ยืนอยู่ด้วย
“สับปะรดนี่ใส่เยอะๆ หน่อย ฉันชอบ” ธานินทร์หยิบสับปะรด ใส่เครื่องปั่น 3-4 ชิ้น
ระหว่างนั้นอังคณาเดินเข้ามา หน้าตาหงุดหงิด
“เข้ามาทำอะไรในนี้น่ะ คุณธานินทร์”
ธานินทร์เงยหน้ามามองแวบหนึ่ง “ป้าทองแกปรุงรสน้ำผักไม่ถูกปากผมซักที เลยต้องมาสาธิตให้ดู”

อังคณาบ่น “ก็มันน้ำผัก จะให้ถูกปากอะไรกันนักหนาล่ะคะ หมอเขาสั่งให้กินเพื่อรักษาโรคหัวใจของคุณ ไม่ใช่เพื่อความอร่อย”
ธานินทร์ท้วง “แต่มันก็ทำให้อร่อยได้”
อังคณาตัดบท “ยังไงก็ไม่ใช่ตอนนี้ค่ะ คุณไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว ช่างภาพเขามากันแล้ว” หันไปถามป้าทองดี “แล้วผู้ช่วยคนใหม่นี่ทำไม่เป็นเหรอ”
สำรวยหลบตา ก้มหน้างุด “ทำไม่เป็นค่ะ”
อังคณาส่ายหน้าเบื่อหน่าย แล้วเดินมาที่เครื่องปั่น “สับปะรดน่ะไม่ต้องใส่มาก เอาออก สับปะรดมันมีกรดเยอะ” พลางเอาส้อมจิ้มสับปะรดออกมา โยนกลับไปในจาน แล้วหันไปสั่งป้าทองดี “มะเขือเทศใส่ลงไปเยอะๆ มันมีประโยชน์ มันจะยากอะไรนักหนา”
ป้าทองดีกับสำรวยแอบมองหน้ากันงงๆ
สั่งเสร็จอังคณาก็ออกไปจากห้องครัว
ป้าทองดีเห็นใจธานินทร์ “คุณผู้ชายไปแต่งตัวก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวอิฉันจะปรุงให้ใหม่”
ธานินทร์ส่ายหน้าอาการเบื่อหน่าย แล้วเอื้อมมือไปหยิบน้ำผักแก้วนั้นดื่มเลย ทั้งๆ ที่ไม่อร่อย

ชนกนันท์ หรือ นก ลูกสาวคนเล็กของอังคณาและธานินทร์อยู่ในชุดสวย เยื้องกรายลงมาจากชั้นบนอย่างร่าเริง นกเห็นอังคณาอยู่ที่โถงบ้าน

“คุณแม่...” ชนกนันท์ยิ้มให้อย่างประจบ และอวดอังคณา “คุณแม่ว่านกเป็นไงบ้างคะ?” หญิงสาวหมุนตัวให้แม่ดู
อังคณายิ้มกริ่ม “ลูกแม่ใส่อะไรก็น่ารัก”
“อะไรแค่น่ารักเหรอคะ นี่คอลเล็คชั่นใหม่จากฝรั่งเศสเลยนะ
อังคณาร้อง ท่าทีฉงน “เหรอ? มาแล้วเหรอ แม่ไม่ยักรู้”
“ยัยแก้วเค้าทัวร์ยุโรปอยู่ หนูเลยสั่งให้ซื้อมาฝาก” ชนกนันท์บอก
“ดีจ้ะ …ถ่ายรูปลงหนังสือทั้งที เราควรใส่เสื้อผ้าให้มันพิเศษหน่อย เออ... แล้วพี่ชายลูกล่ะ”
เสียงเปียโนดังแทรกเข้ามา อังคณากับชนกนันท์หันมายิ้มให้กัน ประมาณว่ารู้แล้วว่าชนะศึกอยู่ไหน

ชนะศึกหรือชนะ ลูกชายคนโต หนุ่มหล่อวัยราว 28 ปี แต่ใบหน้าอ่อนกว่าอายุมาก นั่งอยู่หลังเปียโน กำลังเล่นเพลงที่ทั้งรวดเร็วและดุดัน บ่งบอกว่าเป็นคนใจร้อน อังคณาเดินเข้ามา ปรบมือ
“เสร็จนานแล้วเหรอลูก”
ชนะศึกหยุดเล่นเปียโน ดูนาฬิกาข้อมือเรือนหรู “เสร็จตรงเวลาครับ คนอื่นพร้อมกันหรือยังล่ะ”
ชนะศึกปิดฝาเปียโนแล้วลุกออกมา อังคณามองลูกชายด้วยความภูมิใจ
“ไหนให้แม่ดูซิ” อังคณาเข้าไปพิจารณาเสื้อผ้าลูกชาย “อืม...ใช้ได้ เนคไทด์นี่สวยดีนะ แม่ชอบ”
ชนะศึกกว้างยิ้มให้แม่ พลางแบมือ “จ่ายมาเลยครับ สองหมื่นห้า ผมซื้อมาใหม่สำหรับใส่ถ่ายรูปกับคุณแม่โดยเฉพาะ”
อังคณาค้อน ยิ้มๆ “แหม ชนะ นี่มันไม่ใช่ถ่ายรูปธรรมดานะ รูปพวกนี้น่ะ เขาจะเอาไปลงหนังสือ มันจะสะท้อนภาพพจน์ของครอบครัวเราให้ทุกคนได้เห็น ถ้ามันออกมาดี ทุกคนก็จะประทับใจ และชื่นชมเรา...”
ชนะศึกต่อคำให้ “และอิจฉา”
อังคณาหยุดนิดหนึ่ง อมยิ้มอย่างภูมิใจ “ก็ด้วย”
ชนะศึกหัวเราะส่ายหน้าแล้วเดินนำแม่กับน้องสาวไป

ภาพถ่ายครอบครัวเลิศชัยวัฒน์ ทยอยออกมาให้เห็นหลายๆ รูป ขับคลอด้วยเสียงเพลงคลาสสิคดังแว่วเข้ามา และจบลงพร้อมกับภาพถ่ายภาพสุดท้าย เป็นรูปอิริยาบทสบายๆ ของครอบครัวที่เทอเรซหลังบ้าน สนามหญ้า และที่อื่น ๆ ในบ้าน อีกหลายๆ รูป
ธานินทร์เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อเชิ้ตกับเสื้อนอกลำลองแล้ว
ขณะที่ช่างภาพเก็บอิริยาบทของแต่ละคน เดี่ยวๆ อังคณาเต้นรำอยู่ ชนะศึกถ่ายกับรถสปอร์ตคันหรูของเขา ชนกนันท์สวยเจิดอยู่ในชุดตีกอล์ฟ และตามมาด้วยชุดเทนนิส

จนมาจบที่ภาพครอบครัวในห้องรับแขกหรูหรา โดยมีฉากหลังเป็นของตกแต่งราคาแพง ทุกคนเปลี่ยนใส่ชุดที่เป็นหรู ไฮ มากขึ้น
ในขณะที่ธานินทร์กำลังซ่อมนาฬิกาอยู่ในห้องทำงานนั้น ประตูเปิดออก อังคณาเข้ามาตาม

“ยังไงคะเนี่ย เข้ามาในนี้ทำไม”
ธานินทร์เงยหน้าบอกเสียงเรียบ “ผมพอแล้ว ถ่ายไปเยอะแล้ว”
“แต่มันยังไม่เสร็จนะคะ”
“คุณจะถ่ายอะไรมากมาย หนังสือนั่นน่ะเขาไม่ได้ลงรูปครอบครัวเราทั้งเล่มหรอก ความจริงเขาใช้แค่ 5-6 รูป เองล่ะมั้ง”
“แต่เราจ้างช่างมาแล้ว ฉันก็อยากถ่ายรูปครอบครัวไว้ให้ได้มากที่สุด นี่มันนานๆ ครั้ง คุณจะมีส่วนร่วมกับครอบครัวบ้างไม่ได้หรือไง” ท้ายประโยค อังคณาเหน็บ
“ผมก็ร่วมมือกับคุณไปแล้วไง ผมเบื่อแล้ว คุณอย่าบังคับได้มั้ย”
อังคณาชักสีหน้า “คุณเบื่ออะไร”

ธานินทร์นิ่งอึ้ง ไม่อยากต่อความ ได้แต่ก้มหน้าถอนใจ
“ชั้นจะลงไปถ่ายรูปต่อ คุณจะลงไปทำหน้าที่พ่อที่ดี หรือจะจมจ่อมอยู่ในห้องนี้ต่อก็เลือกเอาเองละกัน” อังคณาเดินฉุนเฉียวไม่พอใจออกไป
ธานินทร์มองตามไปด้วยสีหน้าหดหู่ หยิบนาฬิกาขึ้นมากำไว้
“ถ้าเลือกได้...ถ้าผมเลือกได้ตั้งแต่แรกก็คงดี”
ธานินทร์เอื้อมมือลึกเข้าไป หยิบกล่องกระดาษออกมาจากตู้นาฬิกาเรือนใหญ่ พร้อมกับเปิดกล่องนั้นออก

สายตาธานินทร์เพ่งมองไปที่บริเวณหน้าอกเสื้อ มีรอยปักเป็นรูปดอกกุหลาบและด้านล่างปักไว้ว่า “รัก...พรรณี”
“เธออยู่ไหนนะ พรรณี”
ธานินทร์คร่ำครวญหวนไห้

สภาพบ้านของพรรณี เป็นบ้านที่ซุกตัวอยู่ในชุมชนแห่งหนึ่ง ซึ่งเกือบจะเป็นชุมชนแออัด บ้านส่วนใหญ่เป็นเรือนแถวสร้างขึ้นจากไม้ ชั้นเดียวบ้างสองชั้นบ้าง แต่บ้านของพรรณีเป็นบ้านเดี่ยวมีรั้ว แต่ก็ไม่ใช่บ้านใหญ่นัก เห็นป้ายบอกไว้ที่หน้าบ้าน “รับตัดเย็บเสื้อผ้า”
ภายในบ้าน มีเสื้อชุดลายลูกไม้สวยงามหลายตัวแขวนไว้บนราว เห็นพรรณีหญิงวัยกลางคนที่มีเค้าสวยบนใบหน้างามสมวัย กำลังเย็บจักรเสื้อตัวหนึ่งอยู่ พรรณีดูท่าทางจริงจังกับการทำงานมาก
ระหว่างที่พรรณีกำลังเย็บจักรอยู่ ผึ้ง เด็กสาวข้างบ้าน ก็ช่วยนับเสื้อเรียงแล้วมัดรวมกัน พรรณีเหลือบตามองผึ้งที่ขยันขันแข็งช่วยงาน
“เรียบร้อยจ้า...น้าณี”
พรรณียิ้มออกมาอย่างใจดี “ดีนะที่ได้ผึ้งมาช่วย ลำพังน้ากับพิณคงไม่ได้งานเยอะอย่างนี้”
“แหมน้าณีก็ พูดจาเกรงใจไปได้ หนูกับพิณเป็นเพื่อนรักกัน ใช่คนอื่นคนไกลซะที่ไหน ไม่ช่วยเพื่อนแล้วจะไปช่วยใครล่ะจ๊ะ”
จังหวะนั้นป้าสำอาง เพื่อนบ้านแสนดีชะโงกหน้าเข้ามาในบ้าน ร้องทักทาย
“ไงจ้ะ แม่พรรณี เสื้อที่เอามาให้ปะน่ะ เสร็จหรือยัง?”
พรรณีหัวเราะเบาๆ “ฉันให้พิณมันทำให้อยู่ คงใกล้เสร็จแล้วละ”
สำอางค์ มีสีหน้าฉงน “อ้าว ไม่ได้ทำเองเหรอ”
“งานน้าณีก็เยอะอยู่แล้วนะป้า เนี่ยต้องรีบทำพวกนี้ส่งเฮียเขา เหลือตั้งร้อยกว่าตัว จะมาว่างทำงานป้าได้ไง โธ่ จ่ายก็จ่ายนิดเดียว ทำอย่างกับเป็นลูกค้าใหญ่” ผึ้งซึ่งเป็นหลานของสำอางค์บอก
สำอางค์ แหวใส่ “เอ๊ะ นังนี่ เถียงแทนคนอื่นฉอดๆ เอ็งเป็นหลานข้าหรือเป็นหลานใครกันแน่วะ”
ป้าหลานตั้งป้อมใส่กัน พรรณีรีบตัดบท “เอาหล่ะ เอาหล่ะผึ้ง กวนโมโหป้าเค้าอยู่ได้” หันมาบอกสำอางค์ “รอเดี๋ยวนะจ๊ะ” ตะโกนเรียก “พิณ เสื้อป้าสำอางค์เสร็จรึยังลูก”
เสื้อลายดอกไม้ถูกสะบัด พลิ้วไสวอยู่ พอลดเสื้อลงมาจึงเห็นหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสของพิณทอง สาววัยใสดวงหน้าสวย

“เสร็จแล้วจ้า” พิณทองถือเสื้อมาส่งให้สำอางค์ “นี่จ้ะป้า ตรวจดูก่อน”
สำอางค์รับมาดู “โห...นี่เอ็งปักเป็นรูปดอกไม้ให้ด้วยเหรอเนี่ย”
พิณทองยิ้มกว้าง พลางถาม “ป้าชอบไหมจ๊ะ”
สำอางยิ้มย่อง “ชอบซี้”
“ฉันว่ามันธรรมดาไปหน่อยนะป้า หยั่งป้าเนี่ย มันน่าจะปักดอกสีทอง” ผึ้งประชด
สำอางค์ เคลิ้ม “อ๋อ...” นึกได้ “เฮ้ย อีผึ้ง อีปากปลาร้า ข้าเป็นป้าเอ็งนะ หนอย...อุตส่าห์เลี้ยงเอ็งมา รู้งี้เอาขี้เถ้ายัดปากให้ตายไปตั้งแต่เล็ก ๆ ดีกว่า”
ป้าสำอางค์กับผึ้งทะเลาะ และไล่ตีกันไปจนถึงรั้วหน้าบ้าน พรรณีกับพิณอดขำสองคู่กัดนี้ไม่ได้
ทันใดนั้น น้ำเสียงทักทายเย้ยหยันของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น
“มีความสุขกันจังเลยนะ”
เจ้าของเสียงคือเจ๊วิไล เจ้าหนี้เงินกู้ที่เปิดประตูรั้วเข้ามา พร้อมกับลูกน้องชายฉกรรจ์ 2 คน ยืนอยู่
“จะเอายังไงกันแม่คุณ เลยไปจะอาทิตย์แล้ว ฉันรอมาตั้งนาน เมื่อไหร่จะเอาเงินมาให้ฉัน”
พิณทองขยับตัวเข้ามาหาพรรณี เห็นสีหน้าของแม่ก็รู้ว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีแน่
สำอางค์ แขวะ “เดี๋ยวนี้มาทวงถึงบ้านเลยเหรอ”
“ฉันก็ไม่ได้อยากจะมาที่นี่นักหรอก กลิ่นมันไม่ดี แต่ฉันรอมาหลายวันแล้วก็ไม่เห็นมีวี่แวว ว่าไงนังพรรณี” วิไลแหวใส่
“พอดีเดือนนี้ฉันจำเป็นจริงๆ” พรรณีบอก
“อะไร จำเป็นอะไร เราตกลงกันไว้แล้วว่าทุกวันที่ 2 ของเดือน เธอจะต้องเอาเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยไปส่งให้ฉัน จะบิดพลิ้วไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรทั้งสิ้น
พรรณีหน้าเสีย “ฉันรู้จ้ะ แต่…”
วิไลสวนคำออกมา “ไม่มีแต่ ตกลงจะจ่ายฉันไหม”
“ป้าจ๊ะ วันนี้แม่ยังไม่มี ขอเวลาอีก 2-3 วัน ไม่ได้เหรอจ๊ะ” พิณทองร้องขอ
เจ๊วิไลไม่สน เสียงดัง “ไม่ได้” หันไปสั่งลูกน้อง “ไอ้หนุ่ม ไอ้รัน ไปดูซิ ในบ้านนี้ มีอะไรเอาไปขัดดอกได้บ้าง”
“ได้เลยเจ๊”
แล้วชายฉกรรจ์ทั้งสองเดินไปทั่วบ้าน พวกผู้หญิงในบ้านต่างมองตามอย่างตื่นกลัว
หนุ่มเข้าไปในห้องครัว
“ป้าจ๊ะ บ้านนี้ไม่มีของมีค่าหรอก ขอเวลาเราหน่อยเถอะ” พิณทองอ้อนวอน
“นั่นซี มันจะไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ” สำอางค์ว่า
เจ๊วิไลแหวใส่ “ใจร้ายเหรอ มันเป็นหนี้ฉันอยู่แสนนึง ถ้าไม่ทำแบบนี้ มันก็ได้ใจหมด แกเองก็อย่าแส่ดีกว่า ไม่งั้นฉันจะเรียกเงินแกคืนทั้งต้นทั้งดอกให้หมด”
สำอางค์จ๋อยไป
หนุ่มออกมาพร้อมกับหม้อหลายใบ
“มีแต่พวกนี้เจ๊”

ระหว่างนั้นลูกน้องวิไลคนหนึ่งหิ้วทีวี 14 นิ้ว รุ่นเก่า ๆ มาให้ดู “ทีวีเครื่องนี้พอไหมเจ๊”
“พวกมึงบ้าเหรอ ของแบบนั้นมีราคาอะไร” วิไลหงุดหงิด หันไปเห็นจักร จึงพูดสั่ง “เอานี่ ถอดจักรมันไป”
พรรณีเห็นว่าวิไลมองมาที่จักร รีบเข้าไปขวางอย่างหวงแหน
“ไม่ได้นะ เอาไปไม่ได้”
“อย่านะ อย่าเอาจักรไป”
พิณทองเข้ามาแย่งจักรจากเหล่าชายฉกรรจ์ แต่ชายเหล่านั้นเข้ามายื้อแย่งจักรไปจนได้
“ถ้าไม่มีเงินมาไถ่ อย่าหวังเลยว่าจะได้จักรคืนไป”
วิไล และเหล่าลูกน้องออกไป
“แม่เค้าเอาจักรเราไปแล้ว”

พิณทองกับพรรณีกอดกันร้องไห้ออกมาด้วยความขมขื่นใจ
ในเวลาเดียวกัน ยินเสียงนกหวีดดังปี๊ดขึ้นที่ บริเวณสระว่ายน้ำของสปอร์ตคลับ ส่วนในสระ ท่ามกลางแสงแดดเปรี้ยงๆ ชายหนุ่มสองคนออกสตาร์ทจากขอบสระ ว่ายน้ำแข่งกันอย่างดุเดือด

เทรนเนอร์หนุ่มอีก 2 คนเดินตามอยู่บนขอบสระ ส่งเสียงเชียร์อยู่ไม่ขาดปากมาถึงขอบสระอีกฝั่ง ชายหนุ่มผิวเข้มเข้ามาแตะขอบสระก่อน แล้วยืดตัวสะบัดหัว น้ำกระเซ็น กระจายไป จะเห็นว่าเป็นเพชรแท้นั่นเอง เพชรแท้ขึ้นมาจากสระ ยิ้มอย่างผู้มีชัย
ที่ริมสระ เพชรแท้กับสมภพ ชายหนุ่มคนที่แข่งกับเพชรแท้เมื่อครู่นุ่งผ้าเช็ดตัวเรียบร้อย สมภพกำลังต่อว่าเพื่อน
“ไอ้พงษ์ ไหนมึงบอกว่าเมื่อคืนไอ้เพชรมันอยู่ดึกไงวะ”
พงษ์ยิ้มร่า “ก็จริงนี่หว่า เพชรมันอยู่ดึกจริงๆ”
สมภพไม่เชื่อนัก “ดึกบ้าอะไรวะ ทำไมมันฟิตอย่างเงี่ย”
เพชรแท้ยักคิ้ว ทำหน้าเป็นเชิงว่าช่วยไม่ได้ คนมันฟิต แล้วเดินไป เพื่อนๆ เดินตาม เพชรแท้แบมือทวงเงินสมภพ
“เอามา สามร้อย”
สมภพส่งเงินให้ ปากด่าไปด้วย “เอาไป ไม่รู้กูจะโง่แข่งกับมึงทำไม แข่งกันกี่ครั้งกี่ครั้งกูไม่เคยชนะมึงเลย” เสร็จแล้วหันไปด่าพงษ์ “กูน่าจะเอะใจ ทำไมมึงไม่ลงแข่งเอง”
เพชรแท้หัวเราะขำ “เอาน่า ถือว่าช่วยผ่อนค่างวดรถมอเตอร์ไซค์ก็แล้วกัน”
สมภพเย้า “นี่ผ่อนรถเก๋งได้เลยนะ”
เพชรแท้หัวเราะ แล้วลุกไปล้างตัว

ไม่นานนักเพชรแท้อาบน้ำเสร็จ เสียงมือถือดังขึ้น ชายหนุ่มกดรับ
“ฮัลโหล ... อะไรนะ” เพชรแท้หน้าเครียดขึ้นมาทันที

ที่ซอยทางเข้าบ้านของชุมชน รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดที่เก้าอี้ไม้หน้าบ้านพิณทอง แล้วชายหนุ่มที่ขับมอเตอร์ไซค์ก็ถอดหมวกกันน็อคออก ซึ่งไม่ใช่ใครเป็นเพชรแท้

เพชรแท้ฮึดฮัด เดินตึงตังเข้ามาในบ้าน หน้าตาโมโหสุดๆ
“ไหน มันอยู่ไหน”
พิณทองกับพรรณี กำลังเก็บข้าวของกันอยู่ รีบวิ่งเข้ามาหา พรรณีกอดแขนเพชรแท้ปรามและปลอบลูกชายที่เดือดดาลสุดขีด
“เค้าไปกันหมดแล้ว... เพชร ใจเย็นๆ”
เพชรแท้หันไปมองที่บริเวณที่จักรเคยตั้งอยู่เห็นร่องรอยโดนรื้อ “เลวจริงๆ มันจะเกินไปแล้ว” ชายหนุ่มหันหลังจะกลับออกไป
พรรณีดึงตัวเพชรแท้ไว้ “จะไปไหนเพชร”
“ก็จะไปเอาจักรแม่คืน”
พรรณีร้องห้าม “อย่านะเพชร อย่ามีเรื่องมีราวกันเลย แม่ผิดเองล่ะที่ค้างค่าดอกเค้า”
“แต่มันเกินไปน่ะ จักรนั่นมันเครื่องมือทำมาหากินของแม่ แล้วทีนี้แม่จะทำยังไง”
พรรณีนิ่งอึ้ง ไม่รู้ว่าจะทำยังไงเหมือนกัน
เพชรแท้เห็นอาการแม่ ได้ถอนใจ “แล้วเพชรจะลองหาทางดูแล้วกัน”
“แล้วพี่เพชรจะเอาเงินจากที่ไหน ค่ารถก็ขาดส่งเค้ามา 3 งวดแล้วไม่ใช่เหรอ”
คำพูดน้องสาวทำเอาเพชรแท้หน้าเครียด ไม่มีคำตอบให้ พิณทองนิ่งคิดใคร่ครวญ

พิณทองตระเวนหางานทำในวันต่อมา เริ่มที่บริษัทห้องแถวเล็กๆ ภายในบริษัท พิณทองนั่งอยู่หน้าโต๊ะกับพนักงานคนหนึ่ง ที่กำลังสัมภาษณ์
“จบบัญชีมาเหรอ”
“ค่ะ”
“ใช้คอมพิวเตอร์ได้”
“ได้ค่ะ ได้หมดเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็น Windows, Excel, PowerPoint”
“แล้วใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิคได้มั้ย”
คำถามนี้ พิณทองได้แต่ยิ้มแห้งๆ อย่างหมดหวัง

เวลาผ่านไป พิณทองอยู่ที่หน้าบริษัท อีกบริษัทหนึ่ง
“น้องมีคุณสมบัติตามที่เราต้องการทุกอย่างเลยนะคะ แล้วอย่างน้องเนี่ย จะมีโอกาสก้าวหน้ามากเลย สิ้นปีอาจได้ไปดูงานต่างประเทศด้วยนะคะ ตกลงพี่รับน้องเข้าทำงานเลยคะ” พนักงานบอก
“แล้วจะได้เริ่มงานเมื่อไหร่คะ”
“พอน้องจ่ายค่าประกันปุ๊บ วันรุ่งขึ้นก็ทำงานได้เลยค่ะ” พนักงานคนนั้นว่า
พิณทองอึ้ง “ค่าประกัน”
“เงื่อนไข ข้อ 8 ไงคะ พนักงานต้องวางเงินประกันหมื่นสอง”
พิณทองถึงกับพูดไม่ออก
เวลาผ่านไปอีก พิณทองพาตัวเองมาอยู่ที่อีกบริษัทหนึ่ง เฮียเจ้าของบริษัทเดินจับมือถือแขนพิณทองอยู่

“งานของหนูก็ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่ทำบัญชีรายรับ รายจ่ายที่นี่ แล้วหนูต้องการเงินเดือนเท่าไรบอกเฮียเลย เฮียจ่ายไม่อั้นเลย แล้วบ้านหนูอยู่ไกลมั้ย ถ้าไกลพักซะที่นี่ มีห้องแอร์ด้วยนะ”
ภรรยาเฮียแหวใส่ “ไอ้แก่ ลื้อทำอะไร ไปๆๆ ออกไปเลย ไม่เอาแล้ว ทำอย่างงี้ได้ยังไง ไปจับมือถือแขนเค้า ออกไปเลย”
กลายเป็นว่าพิณทองโดนไล่ออกมาจากบริษัท

กลางแดดร้อนเปรี้ยงๆ พิณทองอยู่ในชุดพนักงานแจกสินค้าตัวอย่าง สวยน่ารัก แต่สีหน้าเหนื่อยอ่อน เพราะแดดร้อนจัด แถมยังต้องสะพายกระเป๋าที่บรรจุสินค้าตัวอย่างเต็มกระเป๋า ผู้คนราว 6-7 คน ทยอยกันเดินผ่านหน้า พิณทองพยายามที่จะแจกของให้ แต่คนก็รับบ้าง เมินบ้าง พิณทองหมดกำลังใจ

พิณทองเดินมาเรื่อยๆ และเห็นศาลจึงแวะเข้าไป มีแม่ค้าคนเฝ้าศาลขายธูปเทียนทองดอกไม้นั่งอยู่
“พี่ขายชุดเท่าไรคะ”
“ชุดละยี่สิบจ้า”
พิณทองซื้อไม่ลง เพราะเสียดายเงิน หญิงสาวตัดสินใจเดินเข้าไปมือเปล่า วางกระเป๋าตัวอย่างสินค้าไว้ด้านข้าง แล้วพนมมือตั้งจิตอธิษฐาน

อ่านละคร บ่วงรัก ตอนที่ 1 วันที่ 25 ต.ค. 55
เค้าโครงเรื่อง : ทีมเอ็กแซ็กท์
บทโทรทัศน์ : กษิดินทร์ แสงวงษ์ , ศิริลักษณ์ ศรีสุคนธ์
กำกับการแสดง : นิพนธ์ ผิวเณร
อำนวยการผลิต : นิพนธ์ ผิวเณร, ถกลเกียรติ วีรวรรณ
แนวละคร : โรแมนติก - ดราม่า
ออกอากาศ : จันทร์ - พฤหัสบดี เวลา 20.25 น. ทาง ช่อง 5
ระยะเวลาออกอากาศ : เริ่มตอนแรกอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555
ที่มา manager.co.th